นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีหนังสือด่วนเรียกสมาคมฯให้ไปให้ถ้อยคำเพิ่มเติมในวันที่ 11 ต.ค.65 นี้ เวลา 13.30 น. กรณีสมาคมฯได้ร้องเรียนต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนำชื่อพรรคการเมืองไปใช้ โดยที่ยังไม่ได้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองตามกฎหมาย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืน พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ม.32 ประกอบ ม.110 อันถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนซึ่งมีโทษปรับและจำคุก
ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 3 ก.ย.65 ที่ผ่านมา น.ส.วรินทร์ทิพย์ วัชรวงษ์ทวี หรือ เสียวเป้า ได้แถลงข่าวเปิดตัวพรรคไฟเย็น และได้แจ้งว่าจะเดินทางไปยื่นจัดตั้งและจดทะเบียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในวันที่ 5 ก.ย.65 ที่ผ่านมานั้น โดยมีนโยบายประการหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมาก และถูกนำไปโฆษณาหาแนวร่วมมาโดยตลอด คือ ข้อ 3 ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ และข้อ 8 ยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งนโยบายดังกล่าวชี้ให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า อาจไม่สอดคล้องกับ ม.45 ของรัฐธรรมนูญ 2560 และอาจเข้าข่ายขัดหรือแย้งต่อ ม.13(3) ประกอบ ม.14 (1) (2) และ(3) แห่ง พรป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ที่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ข้อบังคับพรรคการเมืองจะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และอาจก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างชนในชาติมิได้
นอกจากนั้น ยังปรากฏว่ายังมีการใช้ชื่อ “พรรคก้าวล่วง” ไปดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอีก โดยมีนายอรรถพล บัวพัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรค เมื่อตรวจสอบกับนายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว ก็ไม่ปรากฎว่าทั้งสองพรรคมีการยื่นเรื่องเพื่อขอจดแจ้งจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองตามกฎหมายแต่อย่างใด การที่มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนำชื่อพรรคไฟเย็นและพรรคก้าวล่วง ไปใช้ในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมากมาย อาจถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืน ม.32 ประกอบ ม.110 แห่ง พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างเคร่งครัด เหตุดังกล่าว กกต. จึงได้มีหนังสือเชิญให้สมาคมฯไปให้ถ้อยคำประกอบคำร้องเพิ่มเติม เพื่อยับยั้งกิจกรรมของพรรคการเมืองเถื่อนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งหลาย และดำเนินการแจ้งความเอาผิดต่อบุคคลที่ฝ่าฝืน แอบอ้างใช้ชื่อพรรคการเมืองโดยไม่เป็นไปตามกฎหมายต่อไป นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด