วันที่ 20 ธ.ค.2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยภายหลังการเข้ารับการไต่สวน ต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นัดไต่สวนพยานบุคคล กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ร้อง) ส่งคำร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัยกรณีเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชนใดๆ อยู่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง สส. แบบบัญชีรายชื่อ เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส. ของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย และสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. นับแต่วันที่ 19 ก.ค. 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งศาลได้ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง
นายพิธา กล่าวว่า บรรยากาศระหว่างการไต่สวน เป็นไปตามที่คาดคาดหวังพอใจกับกระบวนการ และได้ไต่สวนตามข้อเท็จจริงที่ตั้งใจไว้ทุกประการรู้สึกพอใจ ส่วนรายละเอียดในการชี้แจงที่สามารถเปิดเผยได้ คงให้สัมภาษณ์ไม่ได้เพราะเป็นการละเมิดศาล แต่ในส่วนข้อเท็จจริงที่สื่อมวลชนได้เคยนำเสนอเกี่ยวกับการยุติจากประกอบกิจการไอทีวี หรือสถานะผู้จัดการมรดกของตนเองก็ได้รับการไต่สวนจากศาลและฝ่ายกฎหมายของผู้ร้องและผู้ถูกฟ้องครบถ้วนแต่รายละเอียดตนไม่สามารถเปิดเผยได้
นายพิธากล่างต่อว่า การไต่สวนครั้งนี้มีพยาน 3 ปาก คือ นายแสวงบุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะพยานผู้ร้อง นอกจากนั้น นายคิมห์ สิริทวีชัย ผู้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวี และตนเอง จาการฟังน้ำหนักพยานและหลักฐานจากตนเองและผู้ร้องแล้ว ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ เพราะจะเป็นการรชี้นำและละเมิดศาลได้ แต่สิ่งที่จะให้สัมภาษณ์ได้คือพอใจและเป็นไปตามที่หวังไว้ทุกประการซึ่งสามารถบอกได้แค่นี้ ส่วนรายละเอียดขอให้รอการสรุปอย่างเป็นทางการจากทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากนี้ไม่มีการนัดไต่สวนโดยจะมีการนัดตัดสินหรือการอ่านคำวินิจฉัยเลย
เมื่อถามถึงความมั่นใจว่าก่อนที่จะเดินทางเข้ามาให้การไต่สวนและหลังออกมาอย่างมั่นใจเหมือนเดิมหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่ายังมั่นใจเหมือนเดิม มั่นใจว่าได้ทำตามหน้าที่ในฐานะผู้ถูกฟ้องอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนความคาดหวังต่อศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรมและความยุติธรรม ในกรณีนี้หากคำพิพากษาเป็นคุณ ก็หวังว่าจะกลับไปทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทันที
เมื่อถามว่าประเด็นที่ศาลได้ไต่สวนได้ถามครบถ้วนหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่าเป็นในเรื่องของรายละเอียด แต่รู้สึกพอใจกับกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้
เมื่อสื่อมวลชนถามนายพิธา ย้อนกลับว่า ก่อนการลงรับสมัครเลือกตั้ง สส.ได้ถือหุ้นไอทีวีไว้หรือไม่นายพิธา กล่าวว่า เป็นการถือแทนในฐานะผู้จัดการมรดก แต่ในส่วนรายละเอียดอยู่ในชั้นศาลไม่อยากที่จะละเมิดศาล แต่ก็ยืนยันว่าเป็นการถือแทนน้องชาย ซึ่งได้สละเจตนาตั้งแต่ก่อนอยู่พรรคอนาคตใหม่ และมีการปันทรัพย์มรดกกัน ตอบมากกว่านี้ไม่ได้ แต่ข้อนี้ก็เป็นหนึ่งในข้อที่มีการพูดคุยกัน ถ้าตอบไปจะเป็นการชี้นำสังคมและเป็นการละเมิดศาล
เมื่อถามว่า ไอทีวี ได้ยุติการออกอากาศแล้วสามารถกลับมาทำสื่อได้อีกอีกครั้งหรือไม่ นายพิธา ระบุว่าถ้าตามเอกสารก็ต้องดูที่นายคิมห์ สิริทวีชัย ผู้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่เคยได้มีการพูดคุยกันที่ประชุมผู้ถือหุ้น เรื่องนี้ขอให้ถามนายคิมห์ น่าจะเหมาะสมมากกว่า ส่วนตัวจะไปพูดแทนไม่ได้ แต่ถ้าได้ดูตามเอกสารที่ออกมาก็จะเห็นว่าไอทีวีได้ยุติการประกอบกิจการไปตั้งแต่ปี 2550 ทรัพยากรอีกครึ่งหนึ่งก็ไปอยู่ไทยพีบีเอส แล้วตอนนี้ใบอนุญาตก็ไม่มี เพราะฉะนั้นการจะกลับมาประกอบกิจการเดิมก็ต้องมีทั้งคดีความที่เกี่ยวโยงกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ สปน. ที่ศาลปกครองสูงสุด รวมถึงคลื่นความถี่ที่ไม่มีแล้ว ใบอนุญาตประกอบกิจการ ที่สอบถามไปยัง กสทช. ก็ไม่มี
สำหรับคำพิพากษาผู้จัดการมรดกต้องมาจากศาลแพ่งส่วนที่เหลือเป็นการปันทรัพย์ ที่มีการส่งข้อมูลทางดิจิทัลที่สามารถเห็นได้ ว่าฝ่ายนั้นถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไหร่ และเรื่องของแสตมป์อากรก็ได้ชี้แจงไปแล้วครบทุกอย่าง
ทั้งนี้ได้รับการรายงานว่าศาลรัฐธรรมนูญจะนัดเข้ารับฟังคำวินิจฉัยในวันพุธ ที่ 24 ม.ค. 2567 เวลา 14.00 น.
สำหรับพยาน 3 ปาก เป็นพยานฝั่งผู้ถูกร้อง 2 คน คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.พรรคก้าวไกล กับนายคิมห์ สิริทวีชัย ผู้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวีเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2566 และยังเป็นผู้เซ็นรับรองในรายงานบันทึกการประชุม ส่วนพยานอีก 1 คน เป็นฝั่งผู้ร้อง คือ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ที่ ศาลเรียกให้มาไต่สวน โดยให้การเสร็จแล้วซึ่งนางแสวงได้ยืนยันเอกสารหลักฐาน แล้วก็กลับสำนักงานไปแล้ว