ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนาโพสต์เฟสบุ๊คถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่รัฐบาลใช้ประชานิยมกันมากไว้อย่างน่าสนใจว่า
ลุงห่วงปัญหาเรื่องปากท้อง หลังฟ้าหญิงให้แก้ด่วนกว่า 1 สัปดาห์ล่วงเลยมา แนวทางในการจะแก้ปากท้อง จะแจกเงินอสม. เดือนละ 1200 บาท แจกเงินให้ผู้ปลูกยางพารา ปาล์ม ไร่ละ 1500 บาท แจกเงินเที่ยวฟรี แจกเงินให้บัตรคนจนอีก 5 หมื่นล้าน เฉลี่ยรายละ 3 พัน ครั้งที่ 5
จากสถิติที่ผ่านมา หลักคิดว่าการใช้ประชานิยม ที่มาจากนักวิชาการในประเทศอังกฤษ และมีการนำไปใช้ใน กรีซ เวเนซุเอลา ฟิลิปปินส์ อาร์เจนตินาทำให้เศรษฐกิจของทั้ง 4 ประเทศล่มสลาย ต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ถูกบีบให้ขายทรัพย์สินของรัฐ จนเกิดอัตราเงินเฟ้อถึง300เท่าในบางประเทศ
ไทยก็เจอเหตุการณ์คล้ายกันในช่วงฟองสบู่แตก จากพิษประชานิยม และค่าเงินบาท ปัจจัยสำคัญคือ ขาดวินัยการเงิน การคลัง ในปี 2540 ในยุคพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี จนต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF และถูกบีบให้ขายทรัพย์สินของรัฐ เพื่อนำมาใช้หนี้ โดยมีต้นเหตุมาจากยุค หม่อมราชวงค์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้นำโครงการประชานิยมมาใช้ในไทยครั้งแรก ตามโครงการเงินผัน
ไทยในยุคทักษิณ ได้ขาย บริษัทปิโตรเลี่ยมไทย(ปตท.) และขายองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) จากของรัฐกลายเป็นรัฐวิสาหกิจ นำเงินมาใช้หนี้ IMF จึงมาอ้างว่าสามารถใช้หนี้ให้กับประเทศได้
การใช้ประชานิยม ได้เริ่มสะสมอีกครั้ง และรอวันฟองสบู่แตกอีกหน ที่เริ่มต้นจากยุค นายชวน หลีกภัย ที่นำโครงการกู้ยืมมิยาซาว่า จากญี่ปุ่น และต่อมารัฐบาลทักษิณได้นำมาใช้อย่างดาษดื่น เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี แจกเงินเกษตรกร ฯลฯ ต่อมา โครงการดังกล่าวก็ถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง ในยุครัฐบาลชวน หลีกภัย 2 สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ อภิสิทธิ์
ในยุครัฐบาลประยุทธ์ที่มีเป้าหมายเพื่อต่อต้านการใช้ประชานิยม ที่ทำให้ประเทศล่มสลาย เหมือน 4 ประเทศที่เคยใช้ แต่กลับใช้หนักกว่าในทุกรัฐบาลที่ผ่านๆมา ด้วยการ แจกเงินคนจน แจกเงิน อสม. แจกเงินคนแก่ แจกเงินหญิงหลังคลอด และจะเพิ่มค่าแรงเป็น 425 บาท ป.ตรี 2 หมื่นบาท ฯลฯ โดยยังคงนโยบายประชานิยมเดิม ของรัฐบาลทักษิณไว้
ทุกๆรัฐบาลได้เพิ่มภาษีจากประชาชน เพื่อนำมาใช้แจกจ่าย ตั้งแต่ภาษี เหล้า บุหรี่ น้ำหวาน VAT7% ฯลฯ ที่สำคัญได้ลักลอบเพิ่มภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง โดยปกปิดความจริงกับประชาชน ทำให้คนไทยต้องใช้น้ำมันแพงกว่าประเทศที่ซื้อจากไทย ที่มีต้นทุนเบนซิน เพียงลิตรละ 17 บาทเท่านั้น เมื่อใช้ประชานิยมมากกว่ารัฐบาลอื่นๆ รัฐบาลประยุทธ์จึงมีการรีดภาษีน้ำมันจากประชาชนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ชาติไทย และบริหารขาดดุลมากกว่า 2.3 ล้านๆบาท จนต้องกู้ประเทศญี่ปุ่นมาบริหาร และจะของบปี 2563 อีก 3.2ล้านล้าน แถมจะขอบริหารขาดทุนอีก 5 แสนล้านบาท โดยมีแผนจะกู้ญี่ปุ่น หรือ IMF อีกครั้ง
อัตราเงินเฟ้อ สินค้าราคาแพง ปัญหาปากท้อง คดีอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้น จนคุกแทบไม่มีที่ขัง ต้องให้ประกันตัวแบบไม่ต้องมีหลักทรัพย์ ติดวงแหวนสัญญาณที่แขนขา มาจากสภาวะเศรษฐกิจ ยาเสพติด เป็นส่วนใหญ่
ประกอบกับสถานการณ์สงครามทางการค้า ที่รัฐบาลชะล่าใจ นิ่งเฉย ไม่เตรียมพร้อมรับมือ มองสถานการณ์ในเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมืองไม่ขาด จึงทำให้ การส่งออกติดลบ อัตราเงินเฟ้อสูง หนี้สาธารณะเพิ่ม หนี้ครัวเรือนจึงมากที่สุดติดอันดับ 10 ของโลก
ประเทศไทยถ้ายังดำเนินเดินไปด้วยการใช้ประชานิยมหรือประชารัฐ ไทยจะมิแตกต่างจาก 4 ประเทศ เช่น เวเนซุเอลาที่ใช้เงินซื้อไก่ตัวเดียวถึง 3 ล้าน และจะถูกมหาอำนาจกดดัน แทรกแซงในที่สุด
นั้นหมายถึงพระราชประสงค์และความต้องการเร่งด่วนของประชาชนที่จะให้แก้ปัญหาปากท้องในรัฐบาลประยุทธ์ จึงไม่มีทางที่รัฐบาลจะทำสำเร็จ เพราะยังเดินหน้าดันทุรังใช้ประชานิยมแบบหายนะ
การจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทยในเวลานี้ มีหลักคิดสำคัญคือ ต้องแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา หลักใช้ปัญญาอย่างชาญฉลาด มาใช้ หยุดการใช้ประชานิยม หยุดการขึ้นภาษีน้ำมัน ไม่ฝืนกลไกตลาด นำยุทธศาสตร์การพัฒนา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชในรัชกาลที่ 9 มาใช้ เช่น โครงการศาสตร์พระราชา โครงการหลวง โครงการศิลปชีพ ของพระพันปีหลวง มาใช้เป็นต้น
“ เดินการเมืองก็เหมือนเดินหมากรุก พลาดหมากเดียวล้มทั้งกระดาน วีรบุรุษจึงกลายเป็นทรราช “
ดร.เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
10 สิงหาคม 2562
สำนักข่าววิหคนิวส์