รมว.มหาดไทย ห่วงสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ สั่งหน่วยงานเตรียมพร้อมดูแลประชาชน ชง 14 แคมเปญมอบของขวัญปีใหม่ให้ปชช. ลดดอกเบี้ยโรงรับจำนำ ปัดตอบเรื่องพรรคทหาร หวั่นกลายเป็นประเด็น
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา การจัดทำโครงการของขวัญปีใหม่เพื่อมอบให้ประชาชน ภายใต้ชื่อ “ของขวัญมหาดไทย ส่งต่อความสุข รับปีใหม่ 2561” รวม 14 โครงการ โดยนำกระบวนการประชารัฐมาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานให้เห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรมเพื่อส่งความสุข ครอบคลุมภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ให้ประชาชนรวม 14 กิจกรรม อาทิ ตลาดประชารัฐ หมู่บ้านชุมชนปลอดภัยจากขยะอันตราย อำนวยความสะดวก ลดเอกสาร โดยการใช้ Smart Card หรือ บัตรประชาชน เพียงใบเดียว แจกแบบบ้านต้านแผ่นดินไหว และลดดอกเบี้ยสถานธนานุบาลท้องถิ่นหรือโรงรับจำนำ ทั่วประเทศอีกด้วย
รมว.มหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ว่า ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายเกือบทั้งหมด ยังคงเหลือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ สุราษฎร์ธานี พัทลุง และนครศรีธรรมราช ขณะเดียวกันในวันที่ 20-22 ธันวาคมนี้ จะมีพายุไคตั๊กเข้ามา ส่งผลให้พื้นที่ตั้งแต่ จ.สงขลาลงไปมีสถานการณ์ฝนตกหนัก ลมแรง ส่วนวันที่ 23-25 ธันวาคม จะมีฝนตกทั่วไปในพื้นที่ภาคใต้
“ได้สั่งการให้หน่วยงานเตรียมพร้อมดูแลประชาชน ตั้งแต่การแจ้งเตือนอพยพ รวมถึงให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น 6 ฉบับ ว่า กระทรวงมหาดไทยได้ส่งความเห็นไปที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงคุณสมบัติของผู้บริหารท้องถิ่นให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่..แต่ก็มีอีกหนึ่งประเด็นที่เสนอเพิ่มเติมไป คือการลดจำนวนสมาชิก อบต.จากเดิมที่มาจากหมู่บ้านละ 2 คนเป็นหมู่บ้านละ 1 คน ซึ่งจะทำให้ประหยัดงบประมาณไปได้ปีละ 4,700 ล้านบาท
ส่วนกระแสข่าวการตั้งพรรคทหาร ที่มีนายสมคิดจาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรค พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่มี คำว่าพรรคทหารคืออะไร ก็ไม่เข้าใจ ตนไม่รู้เรื่องนี้ จึงไม่มีความเห็นเกี่ยวกับกระแสข่าวดังกล่าว
เมื่อถามว่า การเคลื่อนไหวของนักการเมืองครั้งนี้ต้องการดิสเครดิตรัฐบาล ในเรื่องของการสืบทอดอำนาจหรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอให้สังคมพิจารณาเอาเอง เพราะถ้าตนพูดไป ก็กลายเป็นประเด็นทางการเมือง