เรื่องฮอต ประเด็นฮิต » #ม๊อบถูกหลอกป่วนเมือง ! ดร.นิวแฉ ทักษิณ ยุหวังกลับไทย ทอน-บุตร เจตนาชัด

#ม๊อบถูกหลอกป่วนเมือง ! ดร.นิวแฉ ทักษิณ ยุหวังกลับไทย ทอน-บุตร เจตนาชัด

22 August 2021
751   0

   อดีตรองอธิการบดี มธ. ชำแหละ ม็อบ-เครือข่ายนำ “ทักษิณ” กลับไทย สะท้อนปรากฏการณ์ “3 นิ้ว” ป่วน car mob, car park “ดร.นิว” แฉ “ไบเดน-โอบามา” ยังแพ้! แก๊งไอโอ “สองเกลอ” ปั่นกระแสบิดเบือนไม่อายชาวโลก

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (21 ส.ค. 64) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล ม.ธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า

“การจัด car mob และ car park โดย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ สมบัติ บุญงามอนงค์ และการจัดม็อบที่รุนแรงขึ้นอย่างถี่ยิบของกลุ่ม 3 นิ้ว หลังจากที่ทักษิณประกาศจะกลับบ้าน และการที่ณัฐวุฒิเปลี่ยนใจ ไม่ออกไปร่วมชุมนุมกับม็อบ 7 สิงหา ที่ต้องการบุกไปพระบรมมหาราชวัง รวมทั้งการกระทบกระทั่งกันระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล เรื่องตัวบุคคลที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งทำท่าจะลุกลามบานปลาย กลับจบลงอย่างฉับพลัน แม้จะมีคนสำคัญของกลุ่ม 3 นิ้ว โพสต์ข้อความโจมตีทักษิณด้วยความหมั่นไส้ก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ ทำให้สามารถมีข้ออนุมานได้อย่างน้อย 3 ประการคือ

ประการที่ 1 การจัดม็อบของณัฐวุฒิและสมบัติ เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนำทักษิณกลับบ้าน ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะไม่สามารถรอให้รัฐบาลครบวาระ ซึ่งเหลืออีกเพียงปีครึ่งเท่านั้นได้ ซึ่งการจัดม็อบคงทำไม่ได้หากไม่มีเงินสนับสนุน และเป็นไปได้ว่าเงินสนับสนุนจะเผื่อแผ่ไปถึงม็อบป่วนเมืองด้วย

ประการที่ 2 มีการตกลงร่วมมือกันระหว่างทักษิณกับธนาธร และกลุ่ม 3 นิ้ว เพื่อล้มรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่จะมีสหรัฐอเมริกาหนุนหลังหรือไม่ ต้องใช้วิจารณญาณกันเอง

ประการที่ 3 น่าจะมีความขัดแย้งทางความคิดระหว่างทักษิณ และกลุ่มของธนาธร ในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ฝ่ายแรกยังไม่ต้องการแตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างโจ่งแจ้งในขณะนี้ แต่ฝ่ายหลังเดินหน้าไปไกลมากเกินกว่าที่จะหยุดได้ อีกทั้งไม่สามารถที่จะคุมเด็กรุ่นใหม่ที่มีทัศนคติที่เกิดจากการบ่มเพาะขัดเกลาจนเป็นเช่นที่เห็น ให้หยุดการล่วงเกินสถาบันได้

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร จากแฟ้ม
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร จากแฟ้ม


จากข้ออนุมานดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่า การจัดม็อบจะยังมีต่อไปเรื่อยๆ อาจต้องมีการปรับยุทธวิธีบ้าง แต่การลงท้ายด้วยการป่วนเมือง น่าจะยังมีต่อไป และพยายามจะให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นถ้าทำได้ เพราะหากสถานการณ์ยังอยู่ในระดับเดิม ก็ยากที่จะทำให้พลเอกประยุทธ์จะยอมลาออกได้ แต่หากสถานการณ์ความรุนแรงเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นเกิดจลาจลหรือสงครามกลางเมือง พลเอก ประยุทธ์ จะมีทางเลือก 2 ทาง หนึ่งคือยอมลาออก ตามข้อเรียกร้อง ทางเลือกที่สองคือ ประกาศกฎอัยการศึก ใช้ทหารสลายม็อบ หรือถึงขั้นทำรัฐประหาร

หาก พลเอก ประยุทธ์ ยอมลาออก ยังไม่มีใครบอกได้ว่า ฝ่ายใดจะได้จัดตั้งรัฐบาล การจับมือกันระหว่างพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย ไม่อาจบอกว่า เป็นไปไม่ได้ และหากเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยมี 2 พรรค คือ พรรคก้าวไกล กับพรรคประชาธิปัตย์ คงต้องไปเป็นฝ่ายค้าน อย่างไรก็ดี พรรคเพื่อไทยดูจะถือไพ่เหนือกว่าพรรคพลังประชารัฐ ตรงที่มีผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี 2 คน หากไม่นับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ออกไปตั้งพรรคไทยสร้างไทย ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐ มี พลเอก ประยุทธ์ เพียงคนเดียว และคงไม่ยอมปล่อยให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตกไปถึงพรรคภูมิใจไทย

หากมีการทำรัฐประหาร จะมีคนไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก สหรัฐอเมริกาจะไม่มีทางยอมรับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร แบบเดียวกับที่ไม่ยอมรับรัฐบาลเมียนมา และสหรัฐอเมริกากับประเทศที่เป็นบริวาร จะพร้อมใจกันกดดันให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว พร้อมทั้งให้การสนับสนุนพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองที่ไม่เอนเอียงไปทางจีนให้ได้เป็นรัฐบาล

ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกใด ทักษิณล้วนได้ประโยชน์ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะทุ่มเต็มที่เพื่อให้เกิดสถานการณ์ที่ทำให้พลเอก ประยุทธ์ และผู้สนับสนุนต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้

สัญญาณที่เป็นข่าวดีสำหรับรัฐบาล คือ ผู้ก่อม็อบยังไม่สามารถระดมคนได้มากพอที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และในช่วงเย็นตอนป่วนเมืองนับวันยิ่งมีคนน้อยลงไปอีก จึงยังไม่ถึงขั้นจะเรียกว่าม็อบ แต่เป็นเพียงกลุ่มเด็กแว้นป่วนเมือง ซึ่งถ้าเป็นเด็กแว้นตามปกติ ตำรวจคงจัดการได้สะดวกและคงจบไปแล้ว แต่เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับการเมือง ทำให้ทำอะไรไม่ได้ถนัด ต้องคอยระวังตลอดเวลา กระนั้นยังเชื่อว่า ต้องมีตำรวจที่อารมณ์หลุดไปบ้าง หากยังไม่หลุด ก็จะต้องมีวันหลุดจนได้ เพราะการป่วนเมืองเกิดขึ้นทุกวัน และนั่นคือสิ่งที่ผู้วางแผนต้องการ สื่อต่างๆ ที่อยู่ในมือ ต่างก็รอคอยโอกาสเช่นนี้อยู่แล้ว

เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ไป สิ่งที่รัฐบาลควรต้องทำขณะนี้ คือ ทำความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องการจัดหา และจัดการวัคซีนให้ปรากฏอย่างปราศจากความคลุมเครือทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อกังขาเรื่อง sinovac ไม่ใช่เพียงตอบคำถามว่าทำไมจึงต้องสั่งซื้อ sinovac เพิ่ม แต่ต้องตอบคำถามเรื่องราคาว่าแพงกว่าจริงหรือไม่ให้ชัดเจนกว่านี้ และที่สำคัญคือ มีความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้ออย่างที่มีการกล่าวหาหรือไม่ หากมีจริง นายกรัฐมนตรีจะต้องจัดการอย่างเด็ดขาด และไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่เช่นนั้นความนิยมประชาชนต่อรัฐบาลจะเสื่อมลงกว่านี้

ไม่น่าเชื่อว่า ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ไร้เดียงสาพอที่จะยังเชื่อว่า ทักษิณไม่มีบทบาทอะไรต่อการเมืองไทยได้อีกแล้ว แต่รัฐบาลและทหารกุเรื่องทักษิณขึ้นมาเพื่อดึงคนที่เกลียดทักษิณเข้ามาเป็นพวก ลองดูว่า หากรัฐบาลยังอยู่ต่อไปได้จนมีการเลือกตั้งครั้งหน้า คาดว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่ต้องการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก แต่จะไม่แปลกใจเลยว่า พรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทย จะจับมือร่วมกันตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคก้าวไกล อาจจำใจต้องเป็นฝ่ายค้าน

หากเป็นเช่นนั้นจริง ระบอบทักษิณฉบับแก้ไขปรับปรุง จะกลับมาครอบงำประเทศไทยอีกครั้ง และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด”

ภาพ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว จากไทยโพสต์
ภาพ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว จากไทยโพสต์


ขณะเดียวกัน ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan หัวข้อ “ใครคือแก๊งไอโอปั่นกระแสบิดเบือนไม่อายชาวโลก?”

โดยระบุว่า พฤติกรรมการ like กับการ retweet ในทวิตเตอร์

– ทวิตเตอร์คนปกติ like มากกว่า retweet หลายเท่า

– ทวิตเตอร์แก๊งไอโอ retweet มากกว่า like หลายเท่า

ทวิตเตอร์ของคนปกติทั่วไป หรือแม้แต่ทวิตเตอร์ของนักการเมืองสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีทีมประชาสัมพันธ์เป็นมืออาชีพระดับโลก ล้วนแล้วแต่พบพฤติกรรมการ like ที่มากกว่า retweet หลายเท่าทั้งสิ้น

หากลองเข้าไปตรวจสอบในทวิตเตอร์ของ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน หรือ อดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ก็จะพบว่า มีพฤติกรรมการ like ที่มากกว่า retweet หลายเท่าเป็นเรื่องปกติ ส่วนโพสต์ที่มียอด retweet ใกล้เคียงกับยอด like แทบจะหาไม่ได้เลยทีเดียว

 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล จากแฟ้ม
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล จากแฟ้ม


ในขณะที่พฤติกรรมการ retweet ที่มากกว่า like หลายเท่า เป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติ ส่อให้เห็นถึงความจงใจในการปั่นกระแสอย่างชัดเจน พบว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติในทวิตเตอร์ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรคก้าวไกล ตลอดจนโพสต์ทวิตเตอร์กับแฮชแท็กต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปลุกระดมสร้างความแตกแยกในประเทศไทย

เมื่อพฤติกรรมการปั่นกระแสทวิตเตอร์ มีความผิดปกติจนดูน่าเกลียดเช่นนี้ บางทีจำนวน “คน” จริงๆ อาจมีเพียงแค่หยิบมือก็เป็นได้ เพราะส่วนมากล้วนเป็นทวิตเตอร์ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ทั้งสิ้น ตลอดจนอาจมีการใช้บอทหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ร่วมปั่นการ retweet และแฮชแท็กต่างๆ ด้วยเช่นกัน จึงไม่แปลกที่มีการปั่นแฮชแท็กจำนวนนับล้านๆ ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วได้อย่างน่าตกใจ

ทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้ว คนกลุ่มไหนอยู่เบื้องหลังการปั่นกระแสทวิตเตอร์ในประเทศไทย ตลอดจนโซเชียลมีเดียต่างๆ คอยยุยงปลุกปั่นสร้างความแตกแยก บิดเบือนให้ร้าย สร้างความเกลียดชังอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นกลุ่มกบฏที่จงใจปลูกฝังชุดความคิดกบฏเพื่อล้มล้างการปกครอง ปลุกระดมม็อบสามนิ้วให้ลุกฮือขึ้นมาสร้างสถานการณ์รุนแรงและก่อจลาจล ตลอดจนยั่วยุไปสู่ภาวะอนาธิปไตยเพื่อจุดชนวนสงครามกลางเมือง หวังเลียนแบบการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ป่าเถื่อนและรุนแรง

แน่นอน, นับว่า ทั้งสองโพสต์น่าคิดไม่น้อย โพสต์แรก ชี้ให้เห็นความน่าจะเป็นว่า ใครอาจอยู่เบื้องหลัง คนเดียว หรือ มีการรวมหัวกันกับกลุ่มอื่น และหรือ อาจมีการขอความร่วมมือแทรกแซงจากต่างประเทศด้วยหรือไม่? เพื่อผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่านั้น

เพราะต่างก็คิดการใหญ่ และต้องการผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงระดับไหน ก็เท่ากับนับถอยหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้

คนหนึ่งอยากทวงอำนาจคืน กลุ่มหนึ่งต้องการสนองอุดมการณ์ล้มเจ้า ส่วนต่างประเทศต้องการเข้ามามีบทบาทครอบงำ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในภูมิภาคเอเชีย

การ “สมประโยชน์” ถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เริ่มเห็นชัดขึ้นทุกวัน

โพสต์ “ดร.นิว” ถือเป็นการล้วงลึกอาวุธสำคัญ ในการทำ “สงครามความคิด” ของคนบางกลุ่ม ซึ่งกำลังทำให้คนรุ่นใหม่ในประเทศไทย หลงเชื่อ และกลายเป็นค่านิยมทางความคิดที่คนกลุ่มนี้สร้างวาทกรรมว่า “ก้าวหน้า” เป็นความหวังแห่งอนาคต ตาสว่าง โดยเหยียดคนที่เห็นต่างว่า “สลิ่ม” หรือ ไดโนเสาร์ สังเกตให้ดี สาวกของคนกลุ่มนี้ มักจะพูดคำเหล่านี้เหมือนอมขี้ปากกันมา

เหนืออื่นใด ลางร้ายของสังคมไทย ไล่ตามมาติดๆ ไม่มีเวลาให้หายใจหายคอแต่อย่างใด แม้ต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 อย่างหนักก็ตาม เมื่อดูเหมือนคนที่ต้องการทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จับมือกันได้ สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หรืออาจสามฝ่าย

คนไทย กำลังไม่มีทางเลือก และถูกคนเหล่านี้เลือกทางออกให้เอง อย่างที่นักการเมืองบางคนขู่เอาไว้ว่า ถ้าไม่ต้องการให้เป็น “สาธารณรัฐ” หรือ ปกครองในระบอบประธานาธิบดี? ต้อง “ปฏิรูปสถาบันฯ” ทำไมถึงกล้าขู่ขนาดนี้ เชื่อมั่นเรื่องอะไร คือสถานการณ์ที่คนไทยจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด นับจากนี้!!!