โดยผมนั่งอยู่ด้านหลังเพื่อใช้กล้องบันทึกภาพไปด้วย
…บางครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินขึ้นเขา ผมจะเดินหน้าห่างจากพระองค์ซัก ๑ วา เวลาหกล้มไปพระองค์ก็ทรงฉุดให้ลุกขึ้น
….ตอนนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุ ๖๐ พรรษาแล้วนะ ส่วนผมก็ ๕๐ กว่าๆ เห็นจะได้ พระองค์ท่านจึงตรัสว่า “ทำไมถึงสู้แรงเราไม่ได้” (หัวเราะ) นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมประทับใจมาก
….มีอีกครั้งหนึ่งที่ผมไม่เคยลืมคือตอนที่พระเจ้าอยู่หัวทรงขับรถเข้าไปในสลัมแถวคลองรังสิต
…พอไปถึงพระองค์ก็ทรงก้าวพรวดลงจากรถประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่นต่าง
ตกอกตกใจเป็นการใหญ่ว่าในหลวงเสด็จฯ จึงรีบเปิดไฟกันพรึบพรับ
…ครั้งนั้นเสด็จฯไปทอดพระเนตรน้ำในคลอง แล้วตรัสถามประชาชนว่าน้ำที่เห็นอยู่นี้นำไปใช้อะไรบ้าง เขาก็บอกว่าใช้ทั้งกินทั้งอาบ
… แต่พระองค์ทรงให้ความรู้ว่าน้ำนี้กินไม่ได้นะ เป็นอันตราย หลังจากนั้นจึงเกิดโครงการเอาน้ำดีมาไล่น้ำเสีย
… เรื่องเกี่ยวกับน้ำที่ผมทำงานถวายพระองค์ท่านมานานหลายปีแล้ว โดยออกไปสำรวจคูคลองต่างๆ ในกรุงเทพฯแล้วถ่ายภาพมาถวายให้ทอดพระเนตรเพื่อที่จะได้ทรงวางแนวทางแก้ไข ไม่ต้องให้ประชาชนต้องประสบกับอุทกภัย
…ผมอาสาทำงานถวายพระองค์ท่านเพราะผมเรียนมาทางด้านธรณีวิทยา ผมทำงานด้วยใจรักแล้วดีใจที่ได้แบ่งเบาพระราชภาระ
….ส่วนหนึ่งเพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงงานหนักอยู่ตลอดเวลา ภารกิจหลักของ
พระองค์ท่านคือเรื่องน้ำ
…ถ้าน้ำท่วมพระองค์ก็ทรงหาทางช่วยบรรเทาทุกข์ถ้าน้ำแห้งพระองค์ท่านก็พระราชทานฝนหลวงแก่ประชาชน
…ผมเคยถามพระองค์ว่าเมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้มาแล้วจะให้ไปบอกกล่าวกับหน่วยงานใดของรัฐบาลให้เขาช่วยแก้ปัญหา
..พระองค์ทรงเงียบไปครู่หนึ่งและก็ตรัสด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า “ก็ต้องไปบอกโง่ยังไงล่ะ”
…ตอนแรกผมก็ยังไม่เข้าใจ กระทั่งทรงอธิบายว่าโง่นั้นหมายถึงNGO ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ทำงานอย่างไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบันนี้ จึงมีองค์กรโง่ในพระบรมราชูปถัมภ์อยู่มากมาย (ยิ้ม)
เครดิตสืบสาน เล่าเรื่อง
cr : Poramat Ohm Phoyi
สำนักข่าววิหคนิวส์