ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ “บก. ลายจุด” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งถูกอัยการศาลทหารฟ้องในข้อหายุยงปลุกปั่นและกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียวิจารณ์คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนัดหมายประชาชน “ชูสามนิ้ว” ต่อต้านรัฐประหารเมื่อปี 2557
วันนี้ (30 ก.ค.) ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดฟังคำพิพากษาที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมบัติเป็นจำเลยในความผิดฐานยุยงปลุกปั่น สร้างความกระด้างกระเดื่อง ตามมาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา และ มาตรา 14 ของ พ.ร.บ. กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
คำฟ้องของอัยการศาลทหารที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนนำมาเผยแพร่ระบุว่า “จำเลยเป็นบุคคลพลเรือนได้กระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 อันเป็นความผิดที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติให้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร”
“เมื่อระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม 2557 ถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2557… อันเป็นวันเวลาที่อยู่ในระหว่างการใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร… จำเลยบังอาจพิมพ์แล้วส่งข้อความเป็นหนังสือภาษาไทยลงในเว็บไซต์ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กหลายครั้ง ปลุกปั่นยุยงประชาชนให้ออกมาคัดค้านการควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ” พร้อมกับหยิบยกข้อความที่นายสมบัติโพสต์ในเฟซบุ๊กหลายข้อความที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ คสช. และเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรม “ชูสามนิ้ว” ต่อต้านรัฐประหาร
คดีนี้ถูกโอนย้ายจากศาลทหารมาพิจารณาที่ศาลอาญาเมื่อปี 2562
นายสมบัติ ซึ่งต่อสู้คดีนี้มากว่า 6 ปีโดยมีทีมทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้ความช่วยเหลือทางการกฎหมาย กล่าวกับบีบีซีไทยหลังจากฟังคำพิพากษาว่า ประเด็นสำคัญในคำพิพากษาคือ ศาลชี้ว่าข้อความที่เขาโพสต์เป็นเพียงการเสียดสีและวิพากษ์วิจารณ์ติชมโดยสุจริต ไม่ถึงขั้นก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักรตามคำฟ้อง
“สิ่งที่ผมทำเป็นเพียงการเขียนข้อความแสดงความคิดเห็นเหมือนกับที่ผมและผู้คนจำนวนมากในสังคมทำกันอยู่ในตอนนี้ ซึ่งศาลยุติธรรมเห็นว่าเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต และไม่ได้เป็นการยุยงปลุกปั่นหรือก่อให้เกิดความไม่สงบ” นายสมบัติกล่าว
เขาบอกด้วยว่าคดีนี้เป็นกรณีหนึ่งของการที่ คสช. ใช้กระบวนการยุติธรรม โดยอาศัยประกาศ คสช. และศาลทหารเป็นเครื่องมือในการจัดการผู้เห็นต่าง
“แต่เมื่อเวลาผ่านไปและคดีถูกโอนมาที่ศาลยุติธรรม ผลการพิจารณาจึงออกมาเป็นอย่างที่เห็น”
นายสมบัติหวังว่าคำพิพากษานี้จะเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีของผู้ที่ตกเป็นจำเลยในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการแสดงความคิดเห็นเช่นเดียวกับเขา
“ทุกคนที่โดนคดียุยงปลุกปั่น และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เหมือนผม ซึ่งมีเยอะมาก ก็ควรที่จะได้รับการตัดสินว่าไม่มีความผิดเช่นเดียวกับผม” นายสมบัติกล่าว