5 ต.ค.64- นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ เจ้าของเพจทูตนอกแถว และอดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador ว่า พอเถอะครับพวกคนแก่ทั้งหงอกและดำ
มีข่าวเล็กๆในบีบีซีที่ไม่เห็นสื่อไทยเอามาเสนอ เป็นเรื่องของเว็บไซต์ข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิดในออสเตรเลียชื่อ CovidBaseAU ที่รวบรวมข้อมูลต่างๆอย่างเป็นระบบและเข้าใจได้ง่ายจึงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวออสเตรเลีย
แต่ที่มันกลายเป็นข่าวขึ้นมาก็เพราะภายหลังมีการเปิดเผยว่าคนที่ทำเว็บไซต์ดังกล่าว ซึ่งคือ Jack, Wesley และ Darcy ทั้งสามเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นอายุ 14-15 ปีแค่นั้น ทั้งนี้ แจ๊ค หนึ่งในผู้ทำเว็บไซต์บอกว่าสาเหตุที่พวกเขาทำมันขึ้นมาเพราะรู้สึกขัดข้องใจว่าทำไมไม่มีเว็บไซต์เรื่องโควิดที่เข้าใจได้ง่ายและข้อมูลเป็นระบบเลย แต่ไม่ได้คิดว่าจะได้รับความนิยมขนาดนี้
ที่อยากเอามาเล่าเพราะเรื่องนี้มันเป็นสิ่งที่ผมเชื่อและพูดมาตลอดว่าเยาวชนสมัยนี้เก่งมาก และในเรื่องการดำเนินการแก้ปัญหาโควิดนั้น คนที่แก่ๆอายุมากทั้งหลายไม่สามารถมาคุยได้ว่ามีประสบการณ์มากกว่า และจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ดีกว่าคนอายุน้อยกว่า
เพราะที่แน่ๆคือเรื่องโควิดนี้ไม่มีใครมีประสบการณ์มากกว่ากันหรอก โดยครั้งสุดท้ายที่โลกเผชิญอะไรแบบนี้คือโรค Spanish Flu ที่คร่าชีวิตคนไปหลายสิบล้าน ตั้งแต่ช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งเป็นเวลากว่าร้อยปีมาแล้ว ซึ่งคนรุ่นนั้นก็ตายไปเกือบหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าเราต่างมีประสบการณ์โควิดเท่ากันหมด ไม่มีใครมากกว่ากัน
แต่ด้วยความที่คนรุ่นใหม่มีความเข้าใจทั้งในเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ ตลอดจนวิธีและช่องทางการสื่อสารมากกว่า ผมมีความเชื่อเสมอว่าการแก้ปัญหานี้ โดยเฉพาะของไทย จะดีกว่านี้มากหากเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทมากกว่านี้
ไม่ใช่แบบหมอหัวหงอกที่ออกมาเชียร์วัคซีนยี่ห้อหนึ่งอย่างยอมไม่ลืมหูลืมตาโดยที่ใครๆที่ไหนเขาก็รู้ว่าคุณภาพต่ำ และยังทำให้บุคคลากรทางการแพทย์ต้องสังเวยชีวิตแม้จะฉีดวัคซีนที่ว่าไปแล้วสองเข็มแล้วก็ตาม
และไม่ใช่พวกคนแก่หัวดำและหงอก ที่จะด้วยความโง่และหรือโลภอะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมโครงการ COVAX ยังผลให้ไทยไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพและอย่างทันการณ์ ที่มีส่วนทำให้ต้องมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากโรคนี้ รวมทั้งความพินาศวายวอดทางเศรษฐกิจที่ตามมา
แม้กระทั่งอเมริกาเขาจะบริจาควัคซีนไฟเซอร์เพิ่มให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังเกี่ยงกันไปมา โยนกันมั่วไปหมด ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้มา คนระดับสูงของรัฐบาลบางคนไปอเมริกา อุตส่าห์ไปพบ สว. แทมมี่ ดั๊กเวิร์ธที่ผลักดันการมอบไฟเซอร์เพิ่มให้ไทย ก็ดันไปพูดเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG Model) และเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals หรือ SDGs) อะไรที่มันไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาเลยและมันล่องลอย แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกลับมาสักเท่าใด
แล้วไหนจะวัคซีนโมเดอร์นาที่ป่านนี้ยังอยู่ไหน เมื่อไหร่จะมาก็ไม่รู้ ข้อมูลตัวเลขทั้งหลายของรัฐก็ขัดกันเอง มั่วไปหมด คือไม่รู้ว่าบริหารทำงานกันอย่างไรถึงได้ห่วยไร้ประสิทธิภาพได้ขนาดนี้ น่าจะอายเด็กๆกันบ้าง
สำหรับผมนะ ถ้าจะบริหารกันแบบนี้ ต่อให้เอาคุณเพนกวิ้น พริษฐ์ฯ ที่จนบัดนี้ยังถูกคุมขังอยู่อย่างน่าอดสู แล้วให้เขามาเป็นนายกรัฐมนตรีวันนี้เลย ผมว่าก็ยังดีกว่าและมีวุฒิภาวะมากกว่าผู้นำแบบที่ไปยืนคุยกับวัวได้ หลายเท่านัก.