3 ก.ย.63 – นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊กไลฟ์ peace talk โดยประเมินสถานการณ์ของประเทศในเดือนกันยายนจะเป็นห้วงอันตรายที่สุด ระหว่างตัดสินใจทางเลือกยุบสภาหรือยึดอำนาจ
นายจตุพร กล่าวถึงนายปรีดี ดาวฉาย ลาออกจาก รมว.คลังว่า คนที่จะมาเป็น รมว.คลังได้นั้นต้องมี 2 คุณสมบัติ คือ ฉลาดสุด เป็นคนรู้วิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่สถานการณ์ขณะนี้ทำได้ยากอย่างยิ่ง ส่วนอีกคุณสมบัติ เป็นคนโง่ที่สุด ไม่มีความรู้จัดการปัญหา แต่อยากได้ตำแหน่งเอาเกียรติยศ ศักดิ์ศรีเพื่อวงศ์ตระกูลเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การประเดประดังปัญหาต่างๆทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองเข้ามาใส่รัฐบาลในขณะนี้ ไม่ว่ากรณีเรือดำน้ำ คดีเหมืองทองอัครา การหวั่นวิตกโควิดระบาดรอบสอง ยิ่งซ้ำเติมให้เศรษฐกิจทรุดลงอย่างหนัก ดังนั้น สภาพการณ์แบบนี้ ตนคาดว่า คงไม่ได้แก้ รธน. น่าจะมีโอกาสฉีกมากกว่า
“เดือนกันยายนอันตรายที่สุด ถ้าตัดสินใจจะทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เดือนนี้เหมาะสมที่สุด และยิ่งเป็นเดือนสุดท้าย (เกษียณอายุ) ยิ่งตัดสินใจง่ายขึ้น ขอให้จับตาหลัง 19 กันยา สถานการณ์จะเดินไปถึงจุดไหน อย่างไร”
ส่วนการแก้ รธน.นั้น นายจตุพร กล่าวว่า หลายคนวิเคราะห์ถึงความต้องการแก้ ม.272 เลิกให้อำนาจ ส.ว.ลงมติเลือกนายกฯได้ ซึ่ง ส.ว.เลือกนายกฯ เป็นปมให้เกิดหายนะในขณะนี้ โดยความจริงแล้ว 250 ส.ว.ไม่มีความหมายทางการเมือง เป็นเพียงกลุ่มอำนาจไว้ข่มขู่
อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า ถ้า ส.ส. 500 คนในสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าทั้งฝ่ายค้านหรือรัฐบาล สามารถรวมกันได้ 251 เสียงแล้ว พวก ส.ว. 250 คนย่อมทำอะไรแทบไม่ได้เลย นอกจากสมคบพวกเสียงข้างน้อยเลือกนายกฯเท่านั้น แต่นั่นคือการขาดความชอบธรรมสิ้นเชิง
“ผมเชื่อว่า ภายใต้หลายสถานการณ์ปัญหาบีบรัดนี้ ทำให้ทางออกมีจำกัดและน้อย โดยเฉพาะการเสนอแก้ ม.256 แล้ว ยิ่งน่าสนใจว่า จะเดินต่อไปถึงการเลือกตั้ง สสร.มาร่าง รธน.ใหม่หรือไม่ แต่ผมยังเชื่อมั่นในอำนาจประชาชนเลือก สสร.ทั้งหมด ไม่มีการสรรหาตามร่างแก้ไขของฝ่ายรัฐบาล เพราะจะเกิดความยุ่งยากขึ้นอีก ดังนั้น ถ้าไปกันไม่ไหวจริงๆ ควรยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจ จะได้เป็นทางเดินสง่างาม”
สำหรับการยึดอำนาจนั้น นายจตุพร เชื่อว่า แม้มีการยุบสภาแล้ว การยึดอำนาจของประเทศไทยสามารถทำได้ง่ายวันละสามเวลา แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปในการสื่อสาร สิ่งสำคัญควรมีทางออกให้ประเทศบ้าง และควรให้คนแต่ละรุ่นได้มีทางเลือกกันบ้าง
อีกอย่าง ยิ่งคนหนุ่มสาวเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลง แต่กลับเอาพวกเขาไปยัดใส่ในองค์ประกอบ สสร. 10 คน เท่ากับไปสร้างความไม่ชอบธรรมให้กับพวกเขา แทนที่จะได้เลือกอย่างเท่าเทียม ดังนั้น สสร. 200 คนต้องมาจากประชาชนเลือกตั้งทั้งหมดจึงจะยุติธรรม
รวมทั้ง หากฝ่ายรัฐบาลเห็นว่า สถานการณ์ยากลำบากไปทุกขณะ ประกอบกับปรากฎการณ์ขุนคลังอยู่ได้ไม่กี่วันเก้าอี้ร้อนต้องออกไป แม้ไม่มีใครคาดถึง แต่บอกเกิดจากปัญหาสุขภาพคงไม่มีคนเชื่อแน่ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนถึงสถานการณ์อยู่ระยะเปลี่ยนผ่าน หรือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สุด
ตนเคยบอกว่า ต้องรู้เขารู้เรา อย่าคิดแค่ความสะใจ หลายคนบอกว่า ทำไมตนไม่ขยับ เนื่องจากรู้ว่า มาตรการของฝ่ายรับมือในสถานการณ์ขณะนี้มีแค่ 10% หากชุดใหญ่ของพวกตนลงไปจะเพิ่มมาตรการรับมือถึง 100% เท่ากับจะสร้างความยากลำบากมากขึ้น
“ผมเรียนย้ำอีกว่า 3 ข้อเรียกร้องพุ่งตรงรัฐบาล แต่ 10 ข้อพุ่งตรงสถาบัน ถ้าต้องการแก้ปัญหาให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมาต้องเอา 3 ข้อ ผมเชื่อว่าวันนี้ ทุกองค์กรทั้งหมอ อาจารย์ ภาคประชาชนยืนยันใน 3 ข้ออย่างแข็งแรง เพราะ 3 ข้อไม่ว่าเรียกร้องเลิกคุกคาม การยุบสภา และเขียน รธน.ใหม่ เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงตาม 3 ข้อต้องดำรงความมุ่งมั่นให้ชัดเจนแล้วจะประสบชัยชนะ”
นายจตุพร ย้ำถึงเดือนกันยาอันตรายว่า เพราะทุกอย่างไม่ง่ายเหมือนเดิมแล้ว แต่การประเมินสถานการณ์นั้น ทุกคนคิดเข้าข้างตัวเองหมด แต่ไม่เข้าข้างประเทศชาติบ้านเมือง เมื่อทุกฝ่ายมีความพร้อม จึงรอเพียงฝ่ายไหนจะลงมือก่อนกันเท่านั้น
“กันยายนที่กลุ่มปลดแอกต้องการไม่ให้มี ส.ว.นั้น อาจเป็นจริงก็ได้ถ้ามีการยึดอำนาจในเดือนกันยา ส่วนการให้พวกเขาออก หรือแก้ไขให้พวกเขาพ้นจากตำแหน่ง เอาเสือ สิงห์โตไปกินมังสาวิรัตจะง่ายกว่าอีก”
อีกทั้ง ต้องยอมรับความจริงว่า การบริหารของรัฐบาลปัจจุบัน ยิ่งเดินยิ่งเหนื่อยตามลำดับ แม้มีการเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น รมว.คลัง และให้ พล.อ.ประวิตร ไปเป็นกลาโหม ตนเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็คิดมากอยู่ดี เพราะสถานการณ์ขณะนี้มืออาชีพยังหนีเลย
ตนเคยย้ำว่า วันนี้ประเทศไทยต้องรวมสมองกันออกแบบประเทศไทยกันได้แล้ว รวมทั้งสถานการณ์จากโควิดที่ยังหวั่นเกิดระบาดรอบสอง ยิ่งทำให้ประชาชนยากจะใช้ชีวิตปกติอีก ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงให้ประเทศเท่าทันในสถานการณ์นั้น เกินจะเป็นของคนใดคนหนึ่งแล้ว
ส่วนการต่อสู้ของคนหนุ่มสาว ตนต้องยินดีกับคนเหล่านี้ที่จุดประกายให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แม้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ต้องการถอนประกัน แต่ก็เป็นการต่อสู้ที่ต้องวัดใจกัน พร้อมย้ำว่า วันนี้ การต่อสู้ไม่ใช่เรื่องการขลาดกลัว แต่เป็นการเข้าใจสถานการณ์ ติดตามอย่างใกล้ชิด และรู้ว่าใครควรลงถนนแสดงความรับผิดชอบก่อน
“สิ่งสำคัญคือ สถานการณ์ขณะนี้ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ประเทศไทยจะเดินไปถึงการแก้ รธน.หรือไม่ ผมอยากเห็นการยุบสภาแล้ว ไปตายเอาดาบหน้า และการคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นสิ่งสวยงามมากที่สุด เป็นการเดินอย่างสง่างาม ถ้าไปเพราะถูกยึดอำนาจ หรือยึดอำนาจตัวเองทุกสิ่งเป็นห้วงเวลาการตัดสินใจทั้งสิ้น ผลลัพธ์เป็นเรื่องชะตากรรมต้องพิสูจน์”
นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้พอจะอนุมานได้ เรื่องนี้สถานการณ์เริ่มใกล้ตามลำดับ แต่ให้พี่น้องประชาชน ร่วมเป็นตายกับตนได้รู้ว่า ตนไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น เพราะตนเข้าใจสถานการณ์ รู้ว่าวันไหนควรทำอย่างไร และไม่มีวันจะเข้าไปทำสงครามท่ามกลางที่ตนกำหนดอะไรไม่ได้
“ผมเข้าใจอารมณ์พี่น้องประชาชน เพียงแต่เตือนว่า ในสถานการณ์นี้ต้องวิเคราะห์อย่างครบถ้วน การผลีผลามนั้น เราเจอมาหลายเหตุการณ์แล้ว และยังเชื่อว่า การคัดท้ายในสถานการณ์นี้ยังมีความจำเป็น ขออย่าเป็นไปตามอารมณ์ ความรู้สึก แต่ใครพร้อมส่วนไหนก็ว่ากันตามส่วนนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า คนไม่เห็นด้วยจะเป็นพวกไม่ต่อสู้ เพราะผมรู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร