5 ก.ค.2565- ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการกักตัวของผู้ป่วยโควิด-19 ว่า เดิมกำหนดให้มีการกักตัว 7+3 วัน คือกักตัว 7 วันสังเกตอาการอีก 3 วัน แต่ล่าสุดคณะกรรมการวิชาการได้ลดเหลือ 5+5 ซึ่งจะรอนำเข้าที่ประชุมศบค.วันศุกร์ที่8 ก.ค.นี้
ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ติดเชื้อโควิด-19 ก่อนหน้านี้ถือว่าเกิน 10 วันแล้ว โดยการนับจะนับตั้งแต่วันที่มีอาการ เพราะการแพร่เชื้อจะมีการแพร่เชื้อ 2 วันก่อนมีอาการ และ 3 วันหลังมีอาการ ดังนั้นจึงต้องนับจากวันที่เริ่มมีอาการ เพราะฉะนั้นกรณีของนายอนุทินจึงไม่น่าจะมีอะไร และช่วงที่ออกงานเมื่อวานนี้ก็ยืนห่างจากคนอื่น
เมื่อถามว่า ที่เคยบอกว่าวันที่ 1 กรกฎาคมจะให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นยังคงเป็นไปตามนั้นหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า รอที่ประชุมศบค.ว่าจะมีมติออกมาอย่างไร เพราะต้องมีการพิจารณาทั้งมาตรการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข สังคม และกฎหมาย อย่างไรก็ตามวันที่ 1 กรกฎาคมที่จะให้เป็นโรคประจำถิ่น ถือเป็นกรอบกว้างๆ แต่สุดท้ายต้องให้ศบค.เป็นผู้พิจารณา แต่เชื่อว่าการดำรงชีวิตของเราคงไม่ได้เปลี่ยนไปมากกว่านี้
ถามว่าการเป็นโรคประจำถิ่นต้องมีประกาศออกมาชัดเจนหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่าความจริงในนิยามกฎหมายไม่มีคำว่าโรคประจำถิ่น มีแต่โรคติดต่อ โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังหรือโรคติดต่ออันตราย มี 3 ระดับ ซึ่งตอนนี้เราอยู่ในระดับสูงสุด คือ โรคติดต่ออันตราย เพราะฉะนั้นหากจะลดระดับจะเหลือโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ทั้งนี้ต้องรอ ศบค.พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสูงขึ้นสถานการณ์มีการรองรับเตียงอย่างไรบ้าง นพ.โอภาสกล่าวว่า เราทราบดีว่าสถานการณ์การติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องมีการแจ้งเตือน ซึ่งการที่ติดเชื้อมากขึ้นมาจาก 2 ปัจจัย คือ 1.ตอนนี้กิจกรรมเราเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเจอในงานเลี้ยง งานปาร์ตี้ และ 2.มาจากเชื้อ BA.4 BA.5 ที่ติดเชื้อเร็วขึ้นแต่พบว่าความรุนแรงของโรคไม่ได้มากขึ้นตามไปด้วย
นพ.โอภาส กล่าวว่า ที่เรากำลังตามดูขณะนี้คือภาวะการรองรับด้านการรักษาผู้ป่วยหนักมากขึ้นหรือไม่ เตียงรองรับพอหรือไม่ แต่ภาพรวมของประเทศผู้ป่วยหนักไม่ได้มากขึ้น แต่เป็นสัดส่วนจำนวนเคสที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ส่วนใหญ่ตอนนี้ติดเชื้อก็รักษาตัวอยู่บ้าน กินยาก็หายเองได้ ดังนั้นเตียงตามโรงพยาบาลยังเพียงพอ เหลือแต่ที่กทม.เท่านั้น เนื่องจากกทม.มีระบบที่ซับซ้อน บางคนอาการเบาแต่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลเนื่องจากมีเรื่องของประกันสุขภาพที่ระบุว่าต้องนอนโรงพยาบาล ทำให้เสียเตียงไปจำนวนหนึ่ง
เมื่อถามถึงกรณีที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขทำหนังสือแจ้งเตือนไปถึงทั่วประเทศ จำเป็นต้องหวั่นวิตกหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ไม่ใช่เฉพาะปลัดสาธารณสุข แต่ปลัดกระทรวงมหาดไทยก็ทำเหมือนกันเป็นการเตือนหน่วยราชการให้ระมัดระวัง เข้มงวด เตรียมพร้อม ทั้งนี้ถือเป็นมาตรการเตรียมความพร้อมตามปกติแต่เตรียมพร้อมดีกว่าไม่เตรียมพร้อม พวกเราก็ต้องเตรียมพร้อมด้วย.