7 ก.ค.2565 – ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊กส่วนตัวเรื่อง “เรียนรู้จากฟิลิปปินส์” มีเนื้อหาดังนี้ เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าประเทศฟิลิปปินส์ได้เลือกลูกชายจอมเผด็จการขี้โกง Ferdinand Marcos อย่างชนิดถล่มทลาย อาจเป็นที่ตกอกตกใจแก่ชาวโลกและชาวไทยจำนวนหนึ่งว่า ทำไมคนฟิลิปปินส์จึงลืมประวัติศาสตร์ที่ นายมาร์คอส และภริยา (อิเมลดา) ได้โกงบ้านกินเมืองไปประมาณกันว่าเกิน 3 แสนล้านบาท (ในจำนวนนี้รัฐบาลฟิลิปปินส์ยุคหลังนายมาร์คอส สามารถยึดคืนเงินที่ถูกโกงกลับสู่แผ่นดินได้เพียงประมาณ 1 แสนล้านบาท เท่านั้น)
ปัจจุบันแม้อดีตประธานาธิบดี ได้ตายไปแล้วที่รัฐฮาวาย (ซึ่งผมเคยเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆกับบ้านท่านที่ Honolulu ) แต่คดีการคอรัปชั่นก็ยังเล่นงานภรรยาหม้ายของเขาอยู่ (อย่างน้อย 6 คดี) อันนี้ยังไม่รวมการฆ่าแกงอย่างรุนแรงแก่พวกมุสลิมที่อยากแยกดินแดนที่เกาะมินดาเนาและพวกคอมมิวนิสต์ที่มีกระจายอยู่หลายจุดในฟิลิปปินส์
ในฐานะที่ผมเคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์ (University of the Philippines) ระหว่างปี พ.ศ.2511-2513 ซึ่งเป็นช่วงปลายของการเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกของ ประธานาธิบดี Marcos ได้รับเลือกปี พ.ศ.2508 เป็นครั้งแรก ผมจึงอยากเล่าความจริงให้ฟังว่า ในช่วงสมัยแรกของการเป็นประธานาธิบดี นั้น Marcos ได้สร้างความเจริญให้กับฟิลิปปินส์มาก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า อุโมงค์อันแรกกลางกรุงมะนิลาการร่วมมือกับ สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Research Institute : IRRI) ทำให้การผลิตข้าวมีเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ต่างชาติมาลงทุนกันเยอะ มีห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัยชนิดแบบมีบันไดเลื่อน (Escalator) หลายแห่ง ในขณะที่ประเทศไทยไม่เคยมีเช่นนั้นแม้แต่แห่งเดียว เงินเปโซแข็งกว่าเงินบาทมากเราต้องใช้เงินบาทถึง 7 บาทเพื่อจะแลกกับเงิน 1 เปโซของฟิลิปปินส์ (ปัจจุบันเราใช้แค่ 1 บาท ก็สามารถแลกได้ประมาณ 1.5 เปโซ)
ด้วยเหตุนี้คนฟิลิปปินส์ที่บรรลุนิติภาวะในช่วงดังกล่าวจึงชื่นชมยินดีกับผลงานของอดีตประธานาธิบดีมาร์คอส แต่เมื่อถึงสมัยที่ 2 เขาเริ่มบ้าอำนาจประกาศกฎอัยการศึก วันที่ 23 กันยายน 2515 บังคับให้รัฐสภาแก้กฎหมายให้เขาสามารถเป็นประธานาธิบดีได้ตลอดชีพ เมื่อถูกประชาชนเดินขบวนต่อต้านมีการแฉโพยทั้งเรื่องการโกงเลือกตั้ง (ทั้งโกงทั้งซื้อเสียง) การฆ่าศัตรูทางการเมือง การควบคุมเสรีภาพของประชาชน ตลอดจนการโกงบ้านกินเมืองในหลายๆเรื่อง(ประมาณกันว่าไม่ต่ำกว่าสามแสนล้านบาทหรือสิบพันล้านดอลล่า) เขาจึงถูกรมว.กลาโหมพร้อมทหารเข้ายึดอำนาจ จนเขาและครอบครัว (รวมทั้งลูกชายลูกสาว) ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ Hawaii ดังกล่าวแล้วข้างต้น
มีหลายคนยืนยันว่าคนที่เลือกนาย Bong-Bong (บองบอง) ลูกชายของเขาขึ้นเป็นประธานาธิบดี อย่างถล่มทลาย ก็เพราะคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งมีสิทธิ์เลือกตั้งไม่เคยทราบว่าอะไรเกิดขึ้นกับฟิลิปปินส์ในสมัยที่มาร์คอสผู้พ่อเป็นเผด็จการในสมัยที่ 2 ที่เขาเป็นประธานาธิบดี ได้โกงกินมากมาย และก่อหนี้ต่างประเทศอย่างมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเป็นเช่นนั้นมาในอดีต ทำให้ฐานะการเงินการคลังและการเศรษฐกิจกลับตกต่ำลงมาจนแทบจะฟื้นไม่ไหวจนถึงปัจจุบัน และทีมหาเสียงของนาย Bong-Bong ก็มีความสามารถสูงในการใช้ Social media ให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อการโกหกพกลมให้คนชั่วเป็นคนดี ประชาสัมพันธ์เฉพาะส่วนที่ดีซ้ำแล้วซ้ำอีก จนทั้งชาวไร่ชาวนา และคนในชนบทหลงเชื่อ เทเสียงให้พร้อมๆกับพวกคนรุ่นใหม่ที่ขาดความรู้และประสบการณ์ ส่วนคนชั้นกลาง คนในเมือง และคนที่มีการศึกษาจะไม่ยอมกาบัตรให้เขาอย่างเด็ดขาดเพียงแต่มีจำนวนน้อยกว่าหลายเท่า(การเมืองในชนบทของฟิลิปปินส์ นักการเมืองจะใช้ทั้งเงินและปืนมาโดยตลอด)
ผมเห็นด้วยกับบางท่านที่วิจารณ์ว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโลกเราตอนนี้อยู่ในยุคเผด็จการอำนาจนิยมมากขึ้นและประชาธิปไตยถดถอยอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาแนวโน้มอำนาจนิยมที่อยู่เหนือหลักการประชาธิปไตย กำลังแผ่ขยายมากขึ้นทุกวัน การไม่เคารพกฎหมาย การฆ่าแกงคนสีผิว เหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงอิทธิพลของอำนาจนิยมอยู่เหนือหลักการประชาธิปไตยที่เชิดชู การเมืองแบบสันติวิธี
แต่คนฟิลิปปินส์กับคนไทยนั้นต่างกัน เพราะประเทศฟิลิปปินส์นั้นเคยชินกับการยอมรับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าทั้งเงินและอาวุธ เข้ามาปกครองตนในฐานะเป็นเมืองขึ้น ตั้งแต่สเปนจนถึงสหรัฐอเมริกา ก็ถูกปกครองอยู่ถึงประมาณ 500 ปี จิตใจของความเป็นเสรีชนที่จะต่อสู้กับผู้มีอำนาจที่ไร้ธรรมจึงไม่ค่อยมีถึงมีก็คงจะไม่เข้มข้นเหมือนคนไทยที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมาก่อน
รัฐบุรุษของฟิลิปปินส์ผู้นำกองทัพฟิลิปปินส์ที่ร่วมกับนายพลแมกอาเธอร์และทหารสัมพันธมิตรเข้ายึดประเทศฟิลิปปินส์จากการถูกยึดครองโดยกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ พลเอกโรมูโล่ (Rumulo) ได้เข้าเยี่ยม พลเอกเปรม (นายกรัฐมนตรีของไทย) เป็นการส่วนตัวเมื่อ พ.ศ.2524 ที่ห้องงาช้างตึกไทยคู่ฟ้า (ขณะนั้นท่านอายุมากกว่า 80 ปี) ท่านได้บอกพลเอกเปรมว่า “ใครๆก็อิจฉาประเทศไทย เพราะมีหลายอย่างที่คนอื่นไม่มี เช่นพื้นดินอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก ในน้ำมีปลา ในป่ามีไม้เยอะ เป็นประเทศที่ไม่ค่อยเจอมรสุมธรรมชาติบ่อยๆเหมือนประเทศอื่นๆ คนไทยเป็นคนฉลาด เรียนรู้อะไรเร็ว ทั่วโลกที่ขาดแคลนแรงงานล้วนอยากได้คนไทย เสียอย่างเดียวคือขี้เมาแต่สาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยไม่เจริญเท่าที่ควรจะเป็น ก็เพราะ #ประเทศไทยมีคนเลวในวงการเมืองและวงการสื่อสารมวลชน มากเกินไป
ผมเข้าใจว่าท่านโรมูโล่คงหมายถึงหนังสือพิมพ์ เพราะยุคนั้นทีวีมีแค่ช่อง 3,5,7,9 ไม่มีอิทธิพลใดๆในทางการเมือง และ Social media ก็ยังไม่เกิดขึ้นในโลกที่กลายเป็นสื่อสารมวลชนที่สำคัญมากอยู่ในปัจจุบัน
พลเอก เปรม กระซิบห้ามผมว่า ได้ยินทุกอย่างแล้ว อย่าเอาไปพูดนะเดี๋ยวจะได้ศัตรูมาเพิ่มให้แก่รัฐบาล (แล้วเราก็หัวเราะกัน)
ครับ ตอนนี้ พลเอก เปรมก็ไม่อยู่แล้วครับ ผมจึงนำมาเล่าให้ FC ฟัง
ผมยังเชื่อว่าการเลือกตั้งทั่วไปในคราวหน้าของประเทศไทยจะไม่มีผลเหมือนที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์อย่างแน่นอนเพราะประเทศไทยไม่ใช่ประเทสฟิลิปปินส์ และคนไทยก็ไม่เหมือนคนฟิลิปปินส์ (ปล. #ผมเชียร์หารด้วย500 ครับ)
ผมขอเรียนว่าความเห็นที่ลงในเฟซบุ๊กเป็น #ความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคปชปแต่อย่างใด