ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานรัฐสภา ได้โพสต์ข้อความระบุว่า
พรรคการเมืองไทยมีมากมายยิ่งกว่าดอกเห็ด มากมายและไร้ทิศทางจนไม่สามารถเป็นสถาบันทางการเมืองที่หลอมรวมอุดมการณ์ที่จะนำไปสู่การสนองตอบอำนาจอธิปไตยของปวงชนของชาติได้
ส่วนใหญ่เป็นพรรคที่หัวหน้าตั้งด้วยบารมีอิทธิพลทางการเมืองและทรัพยากรการเงิน ไม่ใช่ด้วยอุดมการณ์ที่เป็นเป้าหมายทางการเมืองแต่อย่างใด
และพรรคที่มีอยู่ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งขึ้นเพื่อสนองอำนาจอธิปไตยของปวงชน หากแต่ใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือและเหยื่อทั้งสิ้น
พรรคการเมืองที่มีอยู่ พอจะจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. พรรคที่โหนเจ้า
2. พรรคที่จะล้มเจ้า
ในประเทศไทยที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่ยึดหลักการว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และตุลาการ
จะเห็นได้ว่า นักการเมือง นักชิงเมือง ทหาร ข้าราชการพลเรือน พ่อค้านายทุน เป็นเพียงเครื่องมืออุปกรณ์ส่วนประกอบทั้งสิ้น
ส่วนหลัก คือประชาชน และพระมหากษัตริย์
แต่การณ์กลับปรากฎว่า ในประเทศไทย ส่วนหลักกลายเป็นส่วนรอง และส่วนรองกลับกลายเป็นส่วนหลัก
ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและผู้ใช้อำนาจอธิปไตยคือ นักการเมือง นักชิงเมือง นายทุนขุนศึก ข้าราชการ
ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศถูกจูงจมูก ถูกปิดปาก ถูกบังคับขู่เข็ญ
ส่วนพระมหากษัตริย์ก็เป็นฝ่ายถูกแอบอ้าง ถูกกีดกัน ถูกกระทำ ถูกกำหนด เป็นเรื่องผิดฝาผิดตัวไปหมด บ้านเมืองจึงสับสนวุ่นวาย ไม่มีขื่อไม่มีแป ไร้ซึ่ง
นิติรัฐ นิติธรรม ธรรมาภิบาล
ต้องตั้งหลักกันใหม่ให้ชัดเจน ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุข มีหน้าที่และความรับผิดชอบรักษาความมั่นคงของชาติและความผาสุกของประชาชน ผ่านเครื่องมือทั้ง 3 ด้าน นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ
ไม่ใช่ฝ่ายบริหารจะใช้อำนาจอธิปไตยเสียเองครอบคลุมทุกฝ่าย แม้กระทั่งพระมหากษัตริย์และประชาชน
พระมหากษัตริย์จึงจำเป็นต้องเป็นผู้นำร่วมปฏิรูปประเทศทุกด้านร่วมกับประชาชนที่เรียกว่า ราชประชาสมาสัย อันหมายถึงพระมหากษัตริย์และประชาชนอาศัยซึ่งกันและกัน
ฝ่ายบริหาร นักการเมือง นักชิงเมือง ไม่มีสิทธิ์ปฏิรูปประเทศ เป็นฝ่ายถูกปฏิรูปเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อประเทศยังไม่ถูกปฏิรูปให้ถูกทำนองคลองธรรม การเกิดพรรคการเมืองที่หัวหน้าตั้งขึ้นมามากมายกว่าดอกเห็ด จึงไร้ทิศทาง ไร้ความหมาย ไม่ต่างไปจากกลุ่มแก๊งค์เลือกตั้งหรืออั้งยี่ จะเลือกตั้งกันอีกกี่ครั้งก็ไม่สามารถนำพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยหรือสังคมธรรมาธิปไตยได้ มีแต่ความขัดแย้ง แตกแยก ทะเลาะเบาะแว้ง ทำลายล้างซึ่งกันและกัน อันหาความสงบสันติสุขเจริญรุ่งเรืองไพบูลย์ของชาติไม่ได้ พลกำลังและเวลาทั้งหมดก็สูญสิ้นไปกับการทำสงครามสู้รบเพื่อความอยู่รอดของตนเอง แต่ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติส่วนรวม
จงหยุดทบทวนไตร่ตรองและตั้งหลักใหม่กันเถิด
ก่อนทึ่จะสายเกินไป
ก่อนที่ไม่รู้จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง