เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ผู้สื่อข่าว จ.พัทลุง รายงานว่า จากกรณีที่ผู้โดยสารเที่ยวบิน SL 826 ของสายการบินไลออนแอร์ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม2563 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 18.05 น. ถึงจังหวัดตรังเวลา 19.30 น. ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่มีผู้ป่วยโควิด-19 โดยเที่ยวบินดังกล่าวมีผู้โดยสารชาวพัทลุงเดินทางมาด้วย 9 ราย ซึ่งเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2563 กลุ่มผู้โดยสารกลุ่มดังกล่าวได้เข้ามาพบกับ นายแพทย์จรุง บุญกาญจน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพัทลุง เพื่อเก็บสารคัดหลั่งในการตรวจการติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 8 ราย ส่วนอีก 1 รายจะเข้ามาให้แพทย์ พยาบาล รพ.พัทลุง เก็บสารคัดหลั่งในการตรวจการติดเชื้อโควิด-19 ในวันนี้(ที่ 27) นั้น
นายแพทย์ไพศาล เกื้ออรุณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง เผยว่า จากการเก็บสารคัดหลั่งในการตรวจการติดเชื้อโควิด-19 ทั้ง 8 ราย พบว่าทุกคนมีค่าเป็นลบ ในส่วนของการ เก็บสารคัดหลั่งในการตรวจการติดเชื้อโควิด-19 ของบุคคลด้วยข้อบ่งชี้อื่นๆในวันเดียวกัน จำนวน6 ราย ก็มีค่าเป็นลบเช่นกัน ซึ่งทางแพทย์ พยาบาล ของ รพ.พัทลุง ได้แนะนำให้ทั้ง 14 คน ได้กักตัวเองตามแบบพฤติกรรม New normal อย่างจังและต่อเนื่องแล้วเช่นกัน
นายแพทย์ไพศาล กล่าวอีกว่า ในส่วนของกรณีที่จังหวัดพัทลุงได้ประกาศขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารชาวพัทลุง ที่เดินทางโดยเที่ยวบินนกแอร์ DD 7410 ดอนเมือง-ตรัง เวลา 16.05 น. เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ซึ่งพบผู้ป่วยโควิด-19 ในเที่ยวบินลำดังกล่าว อันจะทำให้ผู้ ที่นั่งแถวที่ 48, 49, 50, 51, 52 ถือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงนั้น ขณะนี้ทาง สสจ.พัทลุงยังไม่ทราบจำนวนชาวพัทลุงที่เดินทางมาด้วยเที่ยวบินดังกล่าว ซึ่งทางสำนักงานฯได้ประสานงานไปยัง รพ.ตรัง เพื่อขอรายชื่อ ที่อยู่ ของผู้โดยสารกลุ่มดังกล่าวแล้ว พร้อมกันนั้นก็ขอให้ผู้โดยสารกลุ่มดังกล่าวได้ติดต่อกับโรงพยาบาลพัทลุง ที่หมายเลขโทรศัพท์ 074-609500 และให้ปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการแพร่โรค อย่างเคร่งครัด โดยการใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา และไม่ไปร่วมกิจกรรมกับคนหมู่มาก จนถึงวันที่ 8 มกราคม 2564
พร้อมกันนั้นก็ประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องชาวพัทลุงอย่าได้ตระหนกกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่ขอให้ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าว โดยให้ทุกคนได้ปฏิบัติตนตามแบบพฤติกรรม New normal อย่างจังและต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อให้จังหวัดพัทลุงเป็นพื้นที่ปลอดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ให้จงได้
ในนขณะนี้จังหวัดพัทลุงโดย สสจ.พัทลุง คณะแพทย์ พยาบาลของโรงพยาบาลต่างๆ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล พี่น้อง อสม. และบุคลากรที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันปฏิบัติการเชิงรุกอย่างจริงจังและต่อเนื่อง