จิตตนาถ ลิ้มทองกุล “ผมเชื่อในพระบารมีของในหลวง รัชกาลที่ ๑๐” “ผมเชื่อว่าอีกไม่นานนี้ เมืองไทยจะเปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางที่ดีขึ้น”
วันที่ 30 ก.ค. 60 ผู้จัดการสุดสัปดาห์รายงานว่า หลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาจำคุก 1 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา จากความผิดกรณี “สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี” แพร่ภาพผ่านระบบดาวเทียมช่วงปี 2548-2549 จิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือผู้จัดการ ให้สัมภาษณ์ “เติมศักดิ์ จารุปราณ” ในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “นิวส์วัน” เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2560ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมทั้งสถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคตของสื่อในเครือผู้จัดการ-NEWS1 ขณะเดียวกันก็ได้สะท้อนมุมมองต่อสถานการณ์บ้านเมืองที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ไปเอาไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง
เติมศักดิ์ – หลังคำพิพากษา ความรู้สึกที่อยากสื่อสารทำความเข้าใจผู้ชม NEWS1 คืออะไรครับ
จิตตนาถ – ผมคิดว่านักสู้ต้องมีบาดเเผลเป็นเรื่องธรรมดานะครับ ศาลท่านมีดุลยพินิจของท่าน ในส่วนตัวผม ผมคิดว่าถ้าเกิดว่าในที่สุดแล้ว ต่อให้ถึงฎีกา ทางเราแพ้คดีความ ถ้าเช่นนั้นรัฐเอง ฟ้องในนามรัฐ ถูกไหมครับ รัฐเองต้องกระจายความยุติธรรมให้ทั่วถึง หมายความว่าทีวีดาวเทียมทั้งหมดที่ออกอากาศในช่วงนั้นผิดหมด ทั้งหมด บางคนบางแห่งหนักกว่าอีกเพราะส่งสัญญาณในประเทศไทยด้วย อย่างไทยคมด้วยหลายๆ เครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นเนชั่น ช่องต่างๆ ผมคิดว่าต้องได้รื้อหมดแน่นอน
เติมศักดิ์ – ตอนนี้กำลังใจเป็นอย่างไรครับ
จิตตนาถ – กำลังใจเหรอครับ ยอมรับว่าช่วง 2- 3 วันแรก รู้สึกช็อกเหมือนกัน ผมไม่คิดว่าโทษที่ได้รับ ไม่รอลงอาญาได้เข้าไป 1 ปี 4 เดือน กังวลเหมือนกันว่า คุณสนธิ เข้าไปคนแล้ว ผมเข้าไปอีกคนจะเป็นอย่างไรต่อไป ธุรกิจกิจการทั้งหมดจะเป็นอย่างไรต่อไป คนข้างหลังจะเป็นอย่างไรต่อไป โชคดีที่คุณแม่ผมได้ให้ผมเจอกับหลักธรรมมะหลายอย่างในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมได้ผ่านประสบการณ์หลายอย่าง บาดแผลก็เยอะ คิดถึงคำว่า มรณานุสสติ คือการเตรียมตัวตาย อันนี้เราไม่ได้เตรียมตัวตาย เราเตรียมตัวที่เข้าคุก คนเราไม่รู้หรอกว่าเราจะตายเมื่อไหร่ แต่โอกาสเมื่อผมแพ้คดี อาจจะมีความเป็นไปได้ว่าภายใน 4 เดือน 6 เดือน ตอนนี้ขาข้างหนึ่งผมอยู่ในคุกแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าผมจะเข้าคุกไปตอนนั้น อย่างน้อยมีเวลา 4 เดือน 6 เดือน ผมได้เตรียมการในเรื่องต่างๆ ในการสั่งเสีย ในการวางแผนเพื่อในช่วงเวลาที่ผมไม่อยู่ เราดำเนินการกันอย่างไรต่อไป เพื่อรักษาช่อง NEWS1 ต่อไปไว้ได้ รักษาองค์กรของเราทั้งหมดเอาไว้ได้ ถือว่าเป็นมรณานุสสติที่ต้องค่อยๆ เตรียมตัวไป
เติมศักดิ์ – พร้อมเผชิญหน้ากับความจริงถ้าศาลฎีกา ยืนเหมือนศาลอุทธรณ์ คือจำคุกไม่รอลงอาญา พร้อมที่จะเจอกับมัน
จิตตนาถ – ครับ คุณสนธิโดนพิพากษาจำคุกไป 20 ปี รับโทษ 20 ปี ผมโดน 1 ปี 4 เดือน พ่อโดนแบบนี้ ลูกโดนเท่านี้ ทำไมโดนไม่ได้ เอาเป็นว่าอย่างน้อยชีวิตผม ผมติดคุกไปอย่างน้อยต้องติด ผมเงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดินครับ ผมติดคุกผมไม่ได้มีความรู้สึก ผมไปทำผิดอะไรมาแล้วกัน ถ้าผมต้องติดจริงๆ
เติมศักดิ์ – นับตั้งแต่ก้าวแรกที่มาทางสื่อ ทำ ASTV มีการต่อสู้ของประชาชน ต่อสู้กับรัฐบาลที่เลวร้าย จนมาถึงจุดนี้ขาข้างหนึ่งอยู่ในคุกแล้ว รอฎีกา เป็นอย่างไรบ้างครับ
จิตตนาถ – ผมชาไปแล้วครับ ตอนนี้ต้องบอกว่าเหมือนคนทรมาน ทำทรมานไปเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่งมันชา เพราะว่ามันไม่รู้จะมีอะไรเข้ามาอีก และเรื่องที่เข้ามาแต่ละเรื่องก็สุดๆ ทั้งที่สามารถเปิดเผยเบื้องหน้าได้ ทั้งที่ไม่สามารถเปิดเผยเบื้องหน้าได้ อย่างที่ผมบอกเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน นะครับ เป็นแบบนี้มากกว่า
เติมศักดิ์ – จากนี้แนวทางจุดยืนของ NEWS 1 จะเป็นอย่างไรครับ
จิตตนาถ – ตอนนี้ผมบอกได้เลยว่า NEWS1 มีความจำเป็นอย่างมากต่อสังคมไทย ผมพยายามรักษา NEWS1 ให้ได้ แนวทางในการรักษา NEWS1 ได้ ต้องทำอย่างไร เราต้องยอมรับว่า จากที่เป็น ASTV มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ตอนแรกคนดูเราเยอะมากเลย เพราะว่าเราเป็นจุดศูนย์รวมของคนที่ออกมาต่อต้านระบอบทักษิณ มันมีวิวัฒนาการขึ้นมา มีทั้งฝั่งการเมืองเข้ามา ฝั่งการเคลื่อนไหวโน้น นี้ นั้น เข้ามา พอมาถึงจุดหนึ่งอุดมการณ์ในหลายๆ เรื่อง ในการต้านทักษิณเหมือนกัน แต่อุดมกาณ์ในบางเรื่องมันไม่สอดคล้อง เช่น บางคนเป็นมวลชนมาจากพรรคการเมือง พอกลุ่มพันธมิตรมีการริเริ่มการเมืองใหม่ มีการแตกขึ้นมา หรือพรรคประชาธิปัตย์มาบริหารราชการ ในหลายๆ เรื่องมันไม่ตรงกับจุดยืนการต่อสู้ขึ้นมา ซึ่งแทบไม่ได้แตกต่างขึ้นมา มวลชนของพรรคประชาธิปัตย์เอง นายทุนเองมองว่าถึงเวลาที่เขาต้องมีสื่อของตัวเอง มันซอยต่อไปอีก เพราะฉะนั้นคนที่เหนียวแน่นกับแฟน NEWS1 ซึ่งเป็นนามธรรมเรียกว่าพันธมิตร มีการซอยเป็นโน้น เป็นนี้มากขึ้น มันแตกสาขาไป เหลือกลุ่มไม่ใหญ่มาก แต่ยังเป็นกลุ่มที่ทรงพลังอยู่ เพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมืองยังอยู่
ในขณะเดียวกันคนไทยชอบความบันเทิงมากกว่า คนไทยเป็นประเภทศรีทนได้ คืออะไรก็ได้ขอให้เกิดความสงบ ไม่ต้องทรมาน ถึงแม้ว่าจะเป็นความสงบจอมปลอม ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้กินดีอยู่ดี แม้ตัวเองจะโดนเอาเปรียบ คือคนไทยชินกับการโดนเอาเปรียบกันมานาน เพราะฉะนั้นผมจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร ในเมื่อกลุ่มคนดูเราสูงอายุมากขึ้น ผมต้องการแนวร่วมของสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้น จะเห็นว่าเราไม่ได้ทำเอง ผลิตเอง คุยอยู่ในวงเดิมๆ ผมพยายามเปิดเอาโลกภายนอกมากขึ้น ที่มันมีเรื่องเฉพาะการเมืองอย่างเดียว เรื่องในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคน เพราะเรื่องแบบนี้อย่างไรคนก็ชอบดู อย่างรายการพระอาทิตย์ไลฟ์ ที่เราทำมาเพราะโปรเจกต์ที่เราทดลองอยากที่จะทำเป็นรายการแม่เหล็กอยู่ ซึ่งต้องปรับอีกสักนิด
นอกจากนี้ อยากมีรายการช่วยเหลือสังคม เพราะผมคิดว่าคนในสังคมยังไม่มีโอกาส เรื่องราวประเด็นอาชญากรรม ประเด็นหลายๆ อย่างจะดึงให้คนมาดู NEWS1 ของเรามากขึ้น เพราะผมต้องการให้ NEWS1 เป็นมากกว่าสถานีเพื่อประชาชน ต้องเป็น Quality ทีวี นอกจากนี้ผมหาพาร์ทเนอร์ อย่างช่นรายการคนค้นฅนซึ่งเขาน่ารักมาก เริ่มมาทำกับเรา เริ่มมีพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ เข้ามา คือกลยุทธ์ที่ทำอย่างไรให้ NEWS1 มันมีคนหลากหลายที่มาติดตามมากขึ้น พอคนข้างนอกหรือคนที่เคยดูสนใจไปแล้ว กลับมาดูเนื้อหาที่มันน่าสนใจ โดนใจ มันรู้สึกสะเทือนใจมากขึ้น เวลาเราพูดอะไรเสียงมันจะดังขึ้น อันนี้เป็นเรื่องของส่วนเนื้อหานะครับ ส่วนเรื่องของการอยู่รอดทางธุรกจ ต้องนั่งวางแผนอยู่ดี เพราะ NEWS1 ถือว่าเป็นสถานีโทรทัศน์ที่ต้นทุนต่ำมาก เทียบกับเนื้อหาของรายการที่เป็นประโยชน์ของสังคมมาเป็น 10 กว่าปีในเชิงทั้งมหภาคนะครับ ไทยพีบีเอสได้งบ สสส.ปีละ 2,000 ล้าน จนกระทั่งมีเงินเหลือไปซื้อหุ้นกู้ใช่ไหมครับ NEWS1 ไม่มี
ดูช่องดิจิตอลทุกช่องเลย แม้แต่โมโน ที่คนบอกว่าต้นทุนน่าจะต่ำที่สุด ยังขาดทุน 200 กว่าล้าน โดยเฉลี่ยแล้วเขาขาดทุนเดือนละ 20 ล้าน ทีวีดิจิตอลเคยมีคนติดต่อผมว่าต้องการร่วมสะพานกับเขาไหม ผมมานั่งวิเคราะห์แล้วผมคิดว่าไม่ดีกว่า เพราะว่าค่าlicense (ใบอนุญาต) ของทีวีดิจิตอล เมื่อหารต่อเดือนแล้วอายุสัมปทาน คุณยังไม่ต้องทำอะไรเลยนะครับแค่คุณหายใจอย่างเดียว คุณมีค่าใช้จ่ายแล้ว 30 ล้านบาท
เพราะฉะนั้นช่องที่มีต้นทุนต่ำอย่างโมโนต่ำสุดแล้ว เขายังขาดทุนอยู่เดือนละ 20 ล้าน แสดงว่าอย่างน้อย ค่าโอเปอร์เรตอย่างน้อยเดือนหนึ่งของเขาต้องมีประมาณ 10-20 ล้านบาท โฆษณาอาจหาไม่ได้ขนาดนั้นเพราะฉะนั้นแล้วถึงขาดทุนสะสมขนาดนี้ ในขณะที่นิวส์วันของเราถ้าจะให้อยู่ได้แบบสบายจริงๆ เราต้องมีเงินหมุนเวียนประมาณเดือนละ 10 ล้านบาท ที่จะอยู่ได้นะครับ
ปัจจุบันโฆษณาเราได้เดือนประมาณล้านนิดๆ SMS อีกประมาณล้าน 1 จาก 2 ล้านกว่าก็ค่อยๆ ลดลงมาตามเทคโนโลยีเหลือล้านหนึ่ง เงินบริจาคก็จะเข้ามาเป็นหลักแสน 2 แสนบ้าง 3 แสนบ้าง การขายของในเน็ตเวิร์คของช็อป ASTV มันก็จะเจอปัญหาประมาณว่านี่คือโปรดักส์ทางการเมืองชื่อ ASTV โปรดักส์ จากรายได้เดือนหนึ่งเป็นหลักล้าน ตอนนี้เหลือหักค่าใช้จ่ายแล้วอยู่ที่ 500,000 บาท ลักษณะเขาจะเป็นอย่างนี้หรือว่าตัวสินค้าเราที่เคยทำให้เราหายใจคล่องอย่าง เครื่องทำน้ำด่าง เครื่องฟอกอากาศ พอมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกอย่างก็สวิตช์ ก็โดยเฉลี่ยเราคิดว่าถ้าเรามีเงินเดือนละ 10 ล้านบาท เราน่าจะอยู่ได้ ตอนนี้ก็หักตัวรายได้แล้วเราก็ยังขาดอยู่ประมาณ 7 ล้านกว่าบาท
ผมถามว่าเยอะไหม เยอะนะครับ แต่ถามว่าแพงไหมกับการทำทีวีคุณภาพสักช่องหนึ่ง ไม่แพงเลย
เติมศักดิ์ – หนึ่งในความคาดหวังนั้นคือทีวีที่เป็นกระบอกเสียงของประชาชน ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในหลายๆ เรื่องถ้าพูดเร็วๆ ตอนนี้อย่างเรื่องพลังงาน เรื่องการต่อต้านการทุจริต การวิพากษ์วิจารณ์งานรัฐบาลจุดยืนเหล่านี้ก็ยังอยู่
จิตตนาถ – อยู่ครับๆ ผมมีบางจุดที่ผมคิดว่าวิธีการแก้ปัญหาในหลายๆ เรื่องมันมีต่างออกไป เอาละมาพูดเรื่องจุดยืนก่อน อาจไม่มีใครรู้ว่าผมเองก็โดนขู่ ทุกวันนี้ผมเองก็ยังโดนขู่ ผมโดนฝากข้อความจากผู้มีอำนาจมาอย่าวิจารณ์อย่างนู้นอย่างนี้ เรื่องนั้นได้ไหม มีครับทั้งฝากมา ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็ง หรือแม้กระทั่งโทรเข้ามาในกอง บก. บอกว่ามีใครบ้างที่ทำเรื่องนี้ จิตตนาถอยู่ในบัญชีดำนะ โทรศัพท์ผมโดนดักฟังหมด คุณสนธิบอกให้ระวัง แต่แกไม่ได้ว่าอะไร เพราะแกก็รู้ว่าผมอยู่ในวงการตรงนี้มาหลายปีแล้ว เพราะฉะนั้นนี่ก็คือจุดที่หลายๆ คนไม่รู้เบื้องหลัง มีหมดครับไม่ใช่ไม่มีเรื่องพวกนี้ ทั้งขู่ ทั้งปลอบ มีหมด
… คุณคิดว่าประเทศไทยสงบ คุณแน่ใจหรอว่าสงบจริง คุณเห็นอะไรบ้างกับการรัฐประหารมา 3 ปีนี้ ใช่ไหมครับ บางคนก็บอกว่าโลกสวยก็ดีกันต่อไป ดีก็ดีกันไป แต่ถามว่าผมคิดว่ายังไง ผมคิดว่าจริงๆ ผมอยากเห็นการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรม ใช่ไหมครับ ที่ดีกว่านี้ นั่นก็คือจุดยืนที่ทำไมเอเอสทีวี หรือว่าตอนนี้เป็นนิวส์วัน หรือเครือผู้จัดการ จะต้องยืนอยู่ ผมถามว่ามีใครชอบเราสักคนไหม ผู้มีอำนาจเอาจริงๆ แล้ว
เติมศักดิ์ -มรสุมที่เข้ามาทั้งในเชิงธุรกิจของนิวส์วัน ทั้งในมรสุมที่เข้ามาที่คุณจิตตนาถ เรื่องคดีความมันจะไม่ทำให้เอกลักษณ์ของผู้จัดการมันหายไปใช่ไหมครับ ความตรงไปตรงมา การวิจารณ์รัฐบาล การเป็นปากเสียงของประชาชน การวิจารณ์เรื่องทุจริตคอรัปชัน
จิตตนาถ – คืออย่างนี้ดีกว่าครับ ผมจะไม่ฝากไปให้กับผู้ชม แต่ผมอยากจะฝากไปให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนิดหนึ่งว่า ผมเองหรือว่าคุณสนธิเอง ในความเป็นจริงแล้วเนี่ย เราไม่ได้มีอคติกับใคร เราว่ากันเป็นเรื่องๆ ใช่ไหม เรื่องอะไรที่เขาทำดีเราก็ชม แต่เรื่องอะไรที่มันทนไม่ไหวจริงๆ มันต้องพูดนะ ไม่ใช่ว่าให้ผมหลับหูหลับตาเชียร์ในทุกเรื่องใช่ไหมครับ บางคนก็บอกผมเรื่องผมเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง ผมว่าผมรู้เรื่องแล้ว แต่ว่าบางคนอาจจะเซนซิทีฟกับผมมากเกินไป
คุณเติมจำได้ไหม คุณเติมออกรายการกับผมแต่ก่อนออกบ่อยมากเลย ช่วงกกปส.ชุมนุม ใช่ไหมครับ ผมรู้แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ผมรู้แล้วว่ามันต้องเกิดรูปแบบที่มันเป็นอยู่อย่างเนี่ย มาถึงการปฏิรูป มันไม่ได้มีคนมาปฏิรูปขึ้นมาจริงๆ หรอก มันเป็นแค่ลมๆ แล้งๆ เท่านั้น ถ้าถามว่าตั้งแต่รัฐประหารมาเนี่ย ผมไม่เคยออก ถ้าไม่ใช่รายการประเภทขึ้นเวทีรับบริจาค ผมไม่เคยมานั่งในสตูฯ นี้เลยใช่ไหม เป็นเวลา 3 ปีแล้วใช่ไหมครับ แล้วอย่างนี้ถือว่าผมวิพากษ์วิจารณ์ใครรึเปล่า เปล่า ผมก็ใช้องค์กรเป็นตัวเขาเรียกว่าใช้เป็นสำนักข่าวดีกว่า ให้มันทำหน้าที่ของมัน อย่างที่มืออาชีพควรจะทำ ไปทั้งองคาพยพ ไม่ใช่สนธิทีวี ไม่ใช่จิตตนาถทีวี ขึ้นมา แต่ผมให้องค์กรมันไปในองคาพยพของมัน อันนี้ก็คือจุดที่ผมคิด
และอีกอย่าง จริงๆ แล้ว ถ้าไม่จำเป็นผมไม่ได้อยากมาออกทีวีเพราะว่าผมเป็นคนที่หวงแหนความเป็นส่วนตัวของผมมาก พนักงานทุกคนจะรู้เลย รูปผมอะไรผมแทบจะไม่เห็นจากสื่อไหนๆ แม้แต่จะสื่อข้างใน ผมก็จะไม่ออกอะไรเลย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผมคิดว่าคณะที่มีเข้ามาบริหารบ้านเมือง แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ ผมคิดว่าเมืองไทยตอนนี้อยู่ในจุดที่มันเหมือนภูเขาไฟที่รอก
ทีมข่าว วิหคนิวส์ รายงาน