คณะตุลาการศาลสูงสุดของสหรัฐมีมติเห็นชอบมาตรการจำกัดการเข้าเมืองของพลเมืองจาก 6 ประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผลักดันเป็นครั้งที่ 3 ในรอบปีนี้
เดลินิวส์ – สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ว่าคณะผู้พิพากษาศาลฎีกาของสหรัฐมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เสียง ให้รัฐบาลวอชิงตันสามารถบังคับใช้คำสั่งจำกัดคนเข้าเมืองของพลเมืองจาก 6 ประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ได้แก่ ชาด อิหร่าน ลิเบีย โซมาเลีย ซีเรีย และเยเมน ได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยการเห็นชอบของศาลสูงสุดคือการอนุมัติคำสั่งที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อเดือนก.ย. ที่ผ่านมา และเป็นฉบับได้รับการแก้ไขเป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปลายเดือนม.ค. ปีนี้
ทันทีที่คำพิพากษาดังกล่าวซึ่งครอบคลุมถึง “การห้ามเข้าเมืองแบบจำเพาะ” ของพลเมืองเกาหลีเหนือและเวเนซุเอลาด้วย ได้รับการประกาศออกไป ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์แสดงความยินดีต่อมติของศาลฎีกา และระบุด้วยว่าคำพิพากษาของศาลสูงสุด “ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ” เนื่องจากคำประกาศของผู้นำสหรัฐในเรื่องนี้ “มีความชอบธรรม” ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ขณะที่นายเจฟฟ์ เซสชันส์ รมว.กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ กล่าวว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็น “ชัยชนะอันยิ่งใหญ่” เพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงของบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม สภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม ( ซีเอไออาร์ ) ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อสิทธิของชุมชนชาวมุสลิมขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ออกแถลงการณ์วิจารณ์คำพิพากษาของศาลฎีกา ว่า “ทรัมป์แบน 3.0” ขัดแย้งกับสภาพสังคมที่เป็นจริงในสหรัฐ ขณะที่ผู้สันทัดกรณีมองว่า “หนทางยังอีกยาวไกล” ในการบังคับใช้มาตรการนี้ให้เป็นกฎหมายของแต่ละรัฐ โดยมีรายงานว่าอัยการกลางในรัฐฮาวาย รัฐเวอร์จิเนียและรัฐแคลิฟอร์เนียเตรียมยื่นอุทธรณ์แล้ว
ขอบคุณภาพจาก CBSN NEWS
สำนักข่าววิหคนิวส์