ศาลแพ่งมีคำสั่งยกฟ้อง กรณีผู้สื่อข่าวที่ถูกยิงกระสุนยางยื่นฟ้องตำรวจสลายการชุมนุม #ม็อบ20มีนา ศาลระบุไม่อาจทำตามคำขอท้ายฟ้องเพื่อควบคุมตำรวจให้กระทำหรือไม่กระทำการใดๆ ในเหตุการณ์การชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นคนละเหตุการณ์กับที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงการชุมนุม 20 มี.ค. 2564 ส่วนคำขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ถือเป็นอำนาจบริหารงานบุคคลภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
24 มี.ค. 2564 ตามที่ศรายุธ ตั้งประเสริฐ ผู้สื่อข่าวประชาไท พร้อมทนายความจากภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก กรณีสลายการชุมนุม 20 มี.ค. 2564 โดยร้องว่าสลายการชุมนุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ด้วยการยิงกระสุนยาง ปิดกั้นการเดินทางโดยเฉพาะเส้นทางไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด และใช้กำลังเกินกว่าเหตุต่อสื่อมวลชนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ พร้อมขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว
เวลา 18.00 น. ศาลแพ่งมีคำสั่งยกฟ้อง และยกคำร้องท้ายฟ้องทั้ง 3 ข้อ โดยในคำสั่งศาลแพ่งระบุว่า คดีดังกล่าว โจทก์ฟ้องมีคำขอท้ายฟ้อง ระบุว่า (1) ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้งสองและเจ้าพนักงานตำรวจในสังกัดของจำเลยที่ 1 ดำเนินการปิดกั้นทางสัญจรหรือสถานที่ต่างๆ ด้วยการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ ลวดหีบเพลง รถยนต์ รั้วเหล็ก หรือวัสดุเครื่องมืออื่นใดในทำนองเดียวกัน ในสถานที่ที่จะมีการชุมนุมสาธารณะและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงทุกครั้งที่มีการชุมนุม (2) ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้งสองและเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการสลายการชุมนุม ห้ามใช้แก๊สน้ำตาหรือสารเคมี ห้ามฉีดน้ำและใช้กระสุนยางในการควบคุมผู้ชุมนุม ห้ามข่มขู่คุกคามและใช้ความรุนแรงกับโจทก์และสื่อมวลชนอื่น ห้ามจำกัดพื้นที่หรือกีดกันโจทก์และสื่อมวลชนอื่นออกจากพื้นที่ที่สื่อมวลชนกำลังปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนห้ามจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน หรือเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชนตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ทุกครั้งที่มีการชุมนุม และ (3) ให้จำเลยทั้งสองตั้งกรรมการสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งระดับผู้บังคับบัญชาที่ทำหน้าที่สั่งการและในระดับปฏิบัติ เพื่อลงโทษทางวินัยและห้ามมิให้เจ้าพนักงานตำรวจที่ใช้ความรุนแรงปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนอีก จนกว่าจะได้รับการปรับปรุงพฤติกรรม เพื่อป้องกันมิให้มีการคุกคามการทำหน้าที่สื่อมวลชน รวมทั้งก่ออันตรายแก่เสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน
พิเคราะห์แล้วสำหรับคำขอท้ายฟ้องข้อ (1) และ (2) เห็นว่า แม้โจทก์ฟ้องคดีโดยบรรยายฟ้องถึงเหตุการณ์การชุมนุมสาธารณะที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2564 ก็ตาม แต่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งข้อ (1) และ (2) กลับเป็นการขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองและเจ้าพนักงานตำรวจในสังกัดของจำเลยที่ 1 กระทำการหรือไม่กระทำการใดๆ ในเหตุการณ์การชุมนุมสาธารณะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทุกครั้งที่จะมีการชุมนุม ซึ่งเป็นคนละเหตุการณ์กับที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงการชุมนุมสาธารณะเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2564 กรณีจึงเป็นการขอให้บังคับเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตทั้งสิ้น ศาลจึงไม่อาจบังคับตามคำขอท้ายฟ้องทั้งสองข้อนี้ได้ สำหรับคำขอท้ายฟ้องข้อ (3) เห็นว่า การตั้งกรรมการสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อลงโทษทางวินัยและห้ามมิให้ปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะปรับปรุงพฤติกรรม เป็นกระบวนการทางวินัยซึ่งเป็นอำนาจบริหารงานบุคคลภายในหน้าที่ของจำเลยทั้งสองในฐานะผู้บังคับบัญชาของเจ้าพนักงานตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลจึงยังไม่อาจมีคำพิพากษาหรือคำสั่งบังคับให้จำเลยทั้งสองตั้งกรรมการสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ข้อ (3) พิพากษายกฟ้อง
ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ