ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » #สงครามน้ำลายระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือ+เวเน+อิหร่าน

#สงครามน้ำลายระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือ+เวเน+อิหร่าน

21 September 2017
785   0

         ทรัมป์ขู่จะทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก คิมน้อยสวนกลับทันทีว่าจะโจมตีสหรัฐด้วยอาวุธนิวเคลียร์ที่น่าสยดสยองและเจอกับหายนะอย่างอนาถในที่สุด, เวเนซุเอลาและอิหร่านตอกหน้าทรัมป์ในเวทียูเอ็นว่า “ไร้ยางอาย โง่เขลา ฮิตเลอร์คนใหม่”

          วันที่ 19 ก.ย. 60 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐขึ้นกล่าวปราศัยในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติเป็นครั้งแรกว่า “เราจะไม่มีทางเลือกอื่นมากไปกว่าการทำลายเกาหลีเหนือทั้งหมด (totally destroy North Korea) หากเกาหลีเหนือแสดงตนเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ” ทรัมป์เรียกผู้นำเกาหลีเหนือว่า “มนุษย์จรวด” กำลังทำภารกิจฆ่าตัวตาย
          วันที่ 20 ก.ย. 60 สื่อรัฐบาลเกาหลีเหนือสวนกลับทันทีว่า “DPRK (เกาหลีเหนือ) ซึ่งตั้งตระหง่านในฐานพรัฐที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ที่มีแสนยานุภาพมากที่สุด แม้ว่าจะประสบความยากลำบากและการทดลองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ตาม ก้ไม่ได้หวาดกลัวต่อการคว่ำบาตร แรงกดดัน และสงครามเลย”
         “ขณะนี้กรุงเปียงยางพร้อมแล้วที่จะทำลายฐานทัพต่างๆ ของพวกศัตรูด้วยการโจมตีที่เด็ดเดี่ยวและลงมือก่อน หากพวกเขาแสดงสัญญาณการยั่วยุใดๆออกมา ในรณีของทางเลือกของสหรัฐสำหรับการเผชิญหน้าและก่อสงครามนั้น… มันจะพบกับการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ที่น่าสยดสยอง และเจอกับหายนะอย่างอนาถในที่สุด” สำนักข่าว KCNA ของรัฐบาลเกาหลีเหนือรายงาน

         แถลงการณ์จากทางการเกาหลีเหนือกล่าวอีกว่า “DPRK ได้เข้าถึงทุกอย่าง และได้รับทุกอย่างที่ตนเองสามารถทำได้ แม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรที่รุนแรงที่สุดและถูกปิดกั้นโดยกองทัพของศัตรูก็ตาม และมันก็เป็นการฝันกลางวันที่จะคำนวณว่า DPRK จะยอมเปลี่ยนแปลงท่าทีของตนเองในการเผชิญหน้ากับการคว่ำบาตรรอบใหม่”
          ในที่ประชุมยูเอ็นนั้น ทรัมป์ก็ด่ากราดทั้งเกาหลีเหนือ เวเนซุเอลา และอิหร่าน วาทกรรมส่วนใหญ่เป็นการกล่าวหาและใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับยกหางตนเองตามสไตล์อเมริกันผู้ชอบเบ่งและข่มขู่ผู้อื่นด้วยกำลัง
         อีกสองเป้าหมายที่โดดเด่นของทรัมป์ในการกล่าวถ้อยแถลง (ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็น hate speech) ในที่ประชุมสมัชชายูเอ็น ก็คืออิหร่านและเวเนซุเอลา ซึ่งได้ตอบโต้สหรัฐอย่างเผ็ดมัน
          “การแสดงความคิดเห็นที่ไร้ยางอายและโง่เขลาของทรัมป์ ในกรณีที่เขาเพิกเฉยต่อการต่อสู้ขบวนการก่อการร้ายของอิหร่าน ได้แสดงให้เห็นเขาขาดความรู้และไม่รับรู้อะไรเลย” นาย Mohammad Javad Zarif รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอิหร่านกล่าว สำนักข่าว Fars News ของอิหร่านรายงาน

         ทรัมป์เรียกอิหร่านว่าเป็น “รัฐอันธพาลหย่อนสมรรถนะ (depleted rogue state) ซึ่งส่งออกความรุนแรง การหลั่งเลือด และความวุ่นวายเป็นหลัก” และยังกล่าวอีกว่า “อิหร่านสนับสนุนพวกผู้ก่อการร้ายที่ฆ่าชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์และโจมตีเพื่อนบ้านชาวอาหรับและอิสราเอลที่รักสันติ และใช้ความมั่งคั่งด้านน้ำมันของตนเองคอยค้ำยันจอมเผด็จการ Bashar al-Assad เติมเชื้อไฟในสงครามกลางเมืองเยเมน และบ่อนทำลายสันติภาพทั่วตะวันออกกลาง”
          นาย Zarif จวกกรุงวอชิงตันว่าสนับสนุน “ระบอบไซออนิสทรราช” (tyrannical regimes) ในภูมิภาค และ “รัฐไซออนิสจอมอาชญากร” ด้วย
          หลังถูกรัฐบาลเวเนซุเอลายกเลิกการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายน้ำมันทั่วประเทศ ทรัมป์ได้ขู่เวเนซูเอลาด้วยความตาย
          ทรัมป์ได้พูดถึงผู้นำของเวเนซุเอลาเป็นเวลาหลายนาทีในที่ประชุมยูเอ็นว่า “จอมเผด็จการนิโคลาส มาดูโร (Nicolás Maduro) พวกสังคมนิยมได้สร้างความเจ็บปวดและความทุกทรมานให้กับคนดีๆ ของประเทศ” และเตือนว่า “นอกจากการคว่ำบาตรเพิ่มแล้ว กรุงวอชิงตันกำลังเตรียมการเพื่อดำเนินการมากกว่านี้ ถ้ารัฐบาลเวเนซุเอลายืนกรานตามเส้นทางของตนเองเพื่อออกกฎหมายเผด็จการต่อประชาชนชาวเวเนซูเอลา”

          ปธน.นิโคลาส มาดูโร ได้ประณามสิ่งที่เขาเรียกว่า “ความก้าวร้าวจากฮิตเลอร์คนใหม่ในการเมืองระหว่างประเทศ” ของทรัมป์ ที่มีต่อประชาชนชาวเวเนซุเอลา
          ประธานาธิบดีมาดูโรแห่งเวเนฯ จวกกลับทรัมป์ทันทีในการกล่าวสุนทรพจน์ที่กรุง Caracas เมืองหลวงของเวเนซุเอลา ว่า “ไม่มีใครข่มขู่เวเนซุเอลาและไม่มีเป็นเจ้าของเวเนซุเอลา วันนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ข่มขู่ประธานาธิบดีของสาธารณรับโบลิวาเรียแห่งเวเนซุเอลาด้วยความตาย”
          ส่วนนายซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่าประเทศของรัสเซียได้แสดงความคิดเห็นเชิงเหน็บแนมแบบผู้ดีต่อท่าทีของทรัมป์ที่มีต่อเกาหลีเหนือว่า “เราได้ฟังแถลงการณ์จากประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับเกาหลีเหนือในทำนองนี้มาหลายครั้งแล้วครับ พวกเราไม่สงสัยเลยว่าสหรัฐมีศักยภาพที่จะทำบางอย่างที่เป็นการทำลายล้างได้เป็นอย่างมาก”
          “แต่ผมได้ให้ความสนใจไปที่อีกส่วนหนึ่งของถ้อยแถลงของประธานาธิบดี เขาบอกว่าเขาเคารพต่ออธิปไตยและความเท่าเทียมกันในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งสหรัฐต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ โดยการแสดงให้เป็นตัวอย่าง และไม่ใช่อย่างอื่น และว่าสหรัฐจะไม่ใช้วิธีของตนเองเกี่ยวกับชีวิตของผู้อื่น และจะยอมรับในความหลากหลายของประเทศต่างๆ วัฒนธรรมต่างๆ และอารยธรรมต่างๆด้วย ผมคิดว่ามันเป็นแถลงการณ์ที่น่าฟัง ซึ่งพวกเราไม่ได้ยินจากผู้นำสหรัฐมาเป็นเวลานานแล้ว” TASS รายงาน ?
ที่มา : เพจ ปอกเปลือก ทรราช
สกฤษฏ์ สุวรรณรัตน์
สำนักข่าววิหคนิวส์