11 ม.ค. 2566 สื่อต่างประเทศรายงาน สวีเดนจ่อฟื้นระบบแกณฑ์ทหาร โดยสำนักข่าว Bloomberg ของสหรัฐฯ และสำนักข่าว Sputnik News ของรัสเซีย ระบุว่า ประเทศสวีเดนให้ความสำคัญกับนโยบายการป้องกันประเทศมากขึ้น ทั้งการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายทางการทหารขึ้นเป็นร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (GDP) ไปจนถึงมีแผนเพิ่มจำนวนทหารเกณฑ์เป็น 2 เท่า ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า สวีเดนกำลังฟื้นการเกณฑ์พลเรือนสำหรับปฏิบัติภารกิจฉุกเฉินต่างๆ
.
ท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการผลักดันขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เมื่อเร็วๆ นี้ โดย อูล์ฟ คริสเตอร์สัน (Ulf Kristersson) นายกรัฐมนตรีสวีเดน เปิดเผยว่า รัฐบาลจะเริ่มเตรียมการภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งนายกฯ สวีเดน กล่าวในการประชุมกลาโหม ว่า เราต้องกลับไปสู่สถานการณ์ที่เรามี “หน้าที่พลเมือง (civil duty)” อย่างเป็นทางการ
.
คาร์ล-ออสการ์ โบห์ลิน (Carl-Oskar Bohlin) รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับผิดชอบงานด้านป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (Minister for Civil Defence at the Ministry of Defence) กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการนำพลเรือนที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างเหมาะสมมาเข้าประจำการในหน่วยกู้ภัยของเทศบาล และเสริมศักยภาพของคนเหล่านี้ในการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น และรัฐบาลมีส่วนร่วมในการทำงานที่กว้างขึ้นเพื่อแนะนำการเกณฑ์ทหารในส่วนอื่นๆ ของโครงสร้างพื้นฐานด้านการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนของประเทศด้วย
.
แม้ยังไม่แน่ชัดว่าโครงการใหม่นี้จะเกี่ยวข้องกับพลเรือนเป็นจำนวนเท่าใด แต่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ในช่วงเริ่มต้นสามารถเกณฑ์พลเรือนได้ถึง 3,000 คน ซึ่งสะท้อนภาพการเตรียมการป้องกันประเทศของสวีเดนในยุคสงครามเย็น ทั้งนี้ การเกณฑ์พลเรือนมาปฏิบัติภารกิจของทางราชการซึ่งในทางปฏิบัติแล้วไม่ต่างจากการเกณฑ์ทหาร ในสวีเดนเคยถูกยกเลิกไปในปี 2551
.
ย้อนไปในช่วงสงครามเย็น งบประมาณรายจ่ายด้านการทหารของสวีเดนเคยสูงสุดถึงร้อยละ 4 ของ GDP ในปี 2506 แต่หลังการล่มสลลายของสหภาพโซเวียตในปี 2534 งบประมาณดังกล่าวก็ค่อยๆ ลดลง กระทั่งในปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1 ของ GDP กระทั่งล่าสุดมีแผนเพิ่มงบประมาณเป็นร้อยละ 2 ของ GDP ซึ่ง มิคาเอล ไบเดน (Micael Byden) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสวีเดน ถึงกับเรียกว่าเป็นงบประมาณขั้นต่ำ (bare minimum) อีกทั้งยังตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนทหารเกณฑ์เป็น 1 หมื่นนาย ภายในปี 2573
.
รัฐบาลสวีเดนยังเปิดการเจรจากับสหรัฐอเมริกา เพื่อกระชับความร่วมมือด้านกลาโหมให้ใกล้ชิดมากขึ้น ทั้งในระดับทวิภาคีและในกรอบของนาโต โดย พอล จอนส์สัน (Pal Jonsson) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสวีเดน เปิดเผยว่า การเจรจาครอบคลุมตั้งแต่สถานะทางกฎหมายของทหารสหรัฐฯ ในสวีเดน ไปจนถึงการจัดเก็บและจัดเตรียมยุทโธปกรณ์ล่วงหน้า และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
.
ในเดือน พ.ค. 2565 สวีเดนและฟินเลนด์ยุติสถานะความเป็นกลาง โดยสมัครเข้าร่วมกับนาโตเพื่อตอบโต้กรณีรัสเซียเปิดปฏิบัติการทหารในยูเครน แต่ยังถูกคัดค้านโดยตุรกีซึ่งอ้างความกังวลด้านความมั่นคง อีกทั้งเรียกร้องให้กลุ่มประเทศนอร์ดิก (เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน) เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวขององค์กรชาวเคิร์ดซึ่งตุรกีประกาศให้เป็นกลุ่มก่อการร้าย อีกทั้งยังขอให้ส่งบุคคลที่ตุรกีต้องการตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนด้วย แต่เรื่องนี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อน เนื่องจากสวีเดนยึดมั่นในการสนับสนุนสิทธิมนุษยชน
.
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า ในเดือน พ.ค. 2565 สวีเดนและฟินแลนด์ได้ยื่นขอเป็นสมาชิกนาโต อีกทั้งเพิ่มจำนวนการเรียกบุคคลเข้าประจำการในกองทัพ หลังจากปี 2560 ที่รัฐบาลสวีเดนตัดสินใจรื้อฟื้นระบบเกณฑ์ทหาร ขณะเดียวกันยังให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณรายจ่ายทางทหารเป็นร้อยละ 2 ของ GDP และเพิ่มจำนวนทหารเกณฑ์เกือบ 2 เท่า เป็น 1 หมื่นนายในทศวรรษหน้า
.
อูล์ฟ คริสเตอร์สัน นายกฯ สวีเดน กล่าวเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2566 ว่า เบื้องต้นรัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงานรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินฝ่ายพลเรือน (Civil Contingencies Agency) เตรียมการฝึกอบรมสำหรับผู้ที่ถูกเกณฑ์ไปช่วยหน่วยงานฉุกเฉินของเทศบาลในกรณีเกิดความขัดแย้งทางทหาร แผนนี้มีจุดมุ่งหมายเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน และเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ถูกเกณฑ์แล้วไม่ต้องการเข้ากองทัพเป็นทหาร
——————————-