วันนี้ ( 1 พ.ย.63 ) พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ วงษ์หอมหวล ผู้กำกับการ สน.ประชาชื่น แถลงชี้แจงเหตุการณ์ควบคุมตัวแกนนำกลุ่มคณะราษฎร 3 คน คือ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง มายัง สน.ประชาชื่น เมื่อวันที่ 30-31 ต.ค.63 ว่า สน.ประชาชื่นได้รับการประสานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครว่า มีหมายปล่อยตัวผู้ต้องขัง 4 คน และจากการตรวจสอบผู้ต้องขัง 3 คน คือนายพริษฐ์ นายภาณุพงศ์ และ น.ส.ปนัสยา มีหนังสือขออายัดตัวจาก สภ.นนทบุรี สภ.พระนครศรีอยุธยา และสภ.เมืองอุบลราชธานี ทำให้สน.ประชาชื่น ซึ่งมีเขตอำนาจการสอบสวน ได้รับหนังสือแจ้งการขออายัดตัวซึ่งแนบมาพร้อมกับหมายจับ ตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. 63 และ วันที่ 22 ต.ค.63 จึงเป็นหน้าที่ต้องเข้าไปรับตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ซึ่งมีการอายัดตัว มาลงบันทึกประจำวันไว้ และรอให้ทางพนักงานสอบสวนซึ่งทำหนังสือขออายัดตัวมารับตัวไปดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย
พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ กล่าวอีกว่าระหว่างการรับตัวนายพริษฐ์กับนายภาณุพงศ์ มายัง สน.ประชาชื่น อาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับหมายจับ หรือขั้นตอนการปฏิบัติของตำรวจ จึงอยากทำความเข้าใจว่า ตนได้รับหนังสือการขออายัดตัวมาพร้อมหมายจับ ก็ต้องทำหน้าที่ตรงนั้น ซึ่งตนไม่ทราบว่าหมายดังกล่าวถูกดำเนินการไปในขั้นตอนไหนแล้ว ขณะที่ทนายความได้โต้แย้งว่า หมายจับสิ้นผลไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันดังกล่าว สภ.นนทบุรี สภ.อุบลราชธานี ได้มีหนังสือขอถอนการอายัดตัว แต่สภ.พระนครศรีอยุธยายังไม่ได้แจ้งถอนหมายอายัดตัว จึงจำเป็นต้องรับตัวเพื่อรอมอบให้กับ สภ.พระนครศรีอยุธยาต่อไป
เรื่องหมายจับสิ้นผลหรือไม่ เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 68 ที่ระบุว่าหมายจับจะสิ้นผลใน 3 กรณี ได้แก่ 1 ถอนหมาย 2 หมายหมดอายุความ หรือ 3 ศาลที่ออกหมายเป็นผู้เพิกถอนหมาย ตนได้เรียนไปยังทนายความแล้วว่าพนักงานสอบสวนที่ขออายัดจะเดินทางมา จึงขอให้มีการรับตัวไป แต่เกิดการขัดขืน จึงมีความจำเป็นต้องควบคุมตัวขึ้นมาบนรถ
“ระหว่างการควบคุมตัวทั้ง 3 คน มาที่ สน.ประชาชื่น ยืนยันว่าได้ทำตามหลักยุทธวิธี ไม่มีการทำร้ายร่างกาย รวมทั้งไม่ได้ใช้เครื่องพันธนาการกับน้องทั้ง 3 คน เพราะเราไม่ได้ควบคุมเขาในฐานะผู้ต้องหา เพียงแต่รับตัวมาตามที่มีการแจ้งอายัดตัวไว้ ขณะที่ น.ส.ปนัสยา ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน ยอมขึ้นรถมาแต่โดยดี” ผกก. สน.ประชาชื่น กล่าว
พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ กล่าวต่อว่ากรณีแกนนำได้ปราศรัยในพื้นที่ สน.ประชาชื่น เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ โดยอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการ ส่วนกรณีผู้ชุมนุมทุบทำลายรถคุมขังนั้น กระจกรถยนต์ถูกทุบทำลายรอบคัน ซึ่งทางกองพิสูจน์หลักฐานได้มาเก็บหลักฐานเพื่อนำไปประกอบสำนวนแล้ว การกระทำดังกล่าวเบื้องต้นมีความผิดชัดเจน คือ ต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตาม ป.วิอาญา มาตรา 138,140 ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ มาตรา 358 และ ข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน มาตรา 295,296
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าตำรวจชนรถจักรยานยนต์ของประชาชน พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ ชี้แจงพร้อมนำคลิปวิดีโอเหตุการณ์มาประกอบคำอธิบาย ว่ารถคันดังกล่าวถูกนำมากีดขวางรถตำรวจไม่ให้สัญจรไปต่อได้ หลังจากนั้นมีรถจักรยานยนต์อีกหนึ่งคันมาจอดด้านข้าง ทำให้ตำรวจต้องเบี่ยงรถออกทางด้านขวา ทำให้รถจักรยานยนต์ที่จอดขวางล้มลง ซึ่งผู้ที่ขับรถตำรวจไม่ทราบว่ามีรถขวางอยู่และถูกลากติดมาด้วย ส่วนรายละเอียดอื่นๆ อยู่ในสำนวนยังไม่สามารถเปิดเผยได้วันนี้ ( 1 พ.ย.63 ) พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ วงษ์หอมหวล ผู้กำกับการ สน.ประชาชื่น แถลงชี้แจงเหตุการณ์ควบคุมตัวแกนนำกลุ่มคณะราษฎร 3 คน คือ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง มายัง สน.ประชาชื่น เมื่อวันที่ 30-31 ต.ค.63 ว่า สน.ประชาชื่นได้รับการประสานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครว่า มีหมายปล่อยตัวผู้ต้องขัง 4 คน และจากการตรวจสอบผู้ต้องขัง 3 คน คือนายพริษฐ์ นายภาณุพงศ์ และ น.ส.ปนัสยา มีหนังสือขออายัดตัวจาก สภ.นนทบุรี สภ.พระนครศรีอยุธยา และสภ.เมืองอุบลราชธานี ทำให้สน.ประชาชื่น ซึ่งมีเขตอำนาจการสอบสวน ได้รับหนังสือแจ้งการขออายัดตัวซึ่งแนบมาพร้อมกับหมายจับ ตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. 63 และ วันที่ 22 ต.ค.63 จึงเป็นหน้าที่ต้องเข้าไปรับตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ซึ่งมีการอายัดตัว มาลงบันทึกประจำวันไว้ และรอให้ทางพนักงานสอบสวนซึ่งทำหนังสือขออายัดตัวมารับตัวไปดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย
พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ กล่าวอีกว่าระหว่างการรับตัวนายพริษฐ์กับนายภาณุพงศ์ มายัง สน.ประชาชื่น อาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับหมายจับ หรือขั้นตอนการปฏิบัติของตำรวจ จึงอยากทำความเข้าใจว่า ตนได้รับหนังสือการขออายัดตัวมาพร้อมหมายจับ ก็ต้องทำหน้าที่ตรงนั้น ซึ่งตนไม่ทราบว่าหมายดังกล่าวถูกดำเนินการไปในขั้นตอนไหนแล้ว ขณะที่ทนายความได้โต้แย้งว่า หมายจับสิ้นผลไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันดังกล่าว สภ.นนทบุรี สภ.อุบลราชธานี ได้มีหนังสือขอถอนการอายัดตัว แต่สภ.พระนครศรีอยุธยายังไม่ได้แจ้งถอนหมายอายัดตัว จึงจำเป็นต้องรับตัวเพื่อรอมอบให้กับ สภ.พระนครศรีอยุธยาต่อไป
เรื่องหมายจับสิ้นผลหรือไม่ เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 68 ที่ระบุว่าหมายจับจะสิ้นผลใน 3 กรณี ได้แก่ 1 ถอนหมาย 2 หมายหมดอายุความ หรือ 3 ศาลที่ออกหมายเป็นผู้เพิกถอนหมาย ตนได้เรียนไปยังทนายความแล้วว่าพนักงานสอบสวนที่ขออายัดจะเดินทางมา จึงขอให้มีการรับตัวไป แต่เกิดการขัดขืน จึงมีความจำเป็นต้องควบคุมตัวขึ้นมาบนรถ
“ระหว่างการควบคุมตัวทั้ง 3 คน มาที่ สน.ประชาชื่น ยืนยันว่าได้ทำตามหลักยุทธวิธี ไม่มีการทำร้ายร่างกาย รวมทั้งไม่ได้ใช้เครื่องพันธนาการกับน้องทั้ง 3 คน เพราะเราไม่ได้ควบคุมเขาในฐานะผู้ต้องหา เพียงแต่รับตัวมาตามที่มีการแจ้งอายัดตัวไว้ ขณะที่ น.ส.ปนัสยา ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน ยอมขึ้นรถมาแต่โดยดี” ผกก. สน.ประชาชื่น กล่าว
พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ กล่าวต่อว่ากรณีแกนนำได้ปราศรัยในพื้นที่ สน.ประชาชื่น เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ โดยอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการ ส่วนกรณีผู้ชุมนุมทุบทำลายรถคุมขังนั้น กระจกรถยนต์ถูกทุบทำลายรอบคัน ซึ่งทางกองพิสูจน์หลักฐานได้มาเก็บหลักฐานเพื่อนำไปประกอบสำนวนแล้ว การกระทำดังกล่าวเบื้องต้นมีความผิดชัดเจน คือ ต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตาม ป.วิอาญา มาตรา 138,140 ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ มาตรา 358 และ ข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน มาตรา 295,296
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าตำรวจชนรถจักรยานยนต์ของประชาชน พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ ชี้แจงพร้อมนำคลิปวิดีโอเหตุการณ์มาประกอบคำอธิบาย ว่ารถคันดังกล่าวถูกนำมากีดขวางรถตำรวจไม่ให้สัญจรไปต่อได้ หลังจากนั้นมีรถจักรยานยนต์อีกหนึ่งคันมาจอดด้านข้าง ทำให้ตำรวจต้องเบี่ยงรถออกทางด้านขวา ทำให้รถจักรยานยนต์ที่จอดขวางล้มลง ซึ่งผู้ที่ขับรถตำรวจไม่ทราบว่ามีรถขวางอยู่และถูกลากติดมาด้วย ส่วนรายละเอียดอื่นๆ อยู่ในสำนวนยังไม่สามารถเปิดเผยได้