เมื่อวันที่ 3 ม.ค.65 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) อาจยังมีต่อเนื่องภายหลังจากเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2565 ซึ่งตนเป็นห่วงนักเรียน ครู และประชาชนทั่วไป จึงได้มอบหมายให้ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เรื่อง มาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของกระทรวงศึกษาธิการ (เพิ่มเติม ครั้งที่ 1)หลังจากที่ได้มีประกาศ ศธ.เรื่อง มาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2564 และประกาศแนวปฏิบัติของกระทรวงศึกษาธิการภายหลังเทศกาลปีใหม่ ที่ ศธ 0100.1/ว3787 ลงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2564 ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งหน่วยงาน(Work from Home) และให้หลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่รวมกลุ่มคนจำนวนมากไปแล้ว
รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า ประกาศแนวปฏิบัติเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ฉบับนี้ออกมา เพื่อให้สถานศึกษาในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ ทุกระดับ ทุกประเภททั่วประเทศ ดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของศธ.เพิ่มเติม ดังนี้ 1.ให้สถานศึกษาประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงอย่างรอบด้านของนักเรียนหรือครูที่อาจเป็นกลุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อ โควิด-19 ในช่วงการเปิดเรียนตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2565 เป็นต้นไป หากมีนักเรียนหรือครูที่เป็นกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว ให้สถานศึกษาสามารถพิจารณาปรับการเรียนการสอนเป็นระบบการศึกษาทางไกล คือ On air , Online, On hand และ On demand) ได้ตามความเหมาะสม และประสานกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดอย่างใกล้ชิด
2. ให้สถานศึกษาประเมินมาตรการการเปิดเรียนของ Thai stop COVID plus และปฏิบัติตามข้อกำหนดของ 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC), 6 มาตรการเสริม (SSET-CQ) และแนวทาง 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษาโดยเคร่งครัด โดยพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างให้ปฏิบัติตามแนวทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
และ 3. ให้สถานศึกษาดำเนินมาตรการตามแผนเผชิญเหตุที่กำหนด กรณีนักเรียน ครู หรือ บุคลากรในสถานศึกษามีการติดเชื้อโควิด-19 หรือมีผลตรวจคัดกรองหาเชื้อเป็นบวก โดยให้มีการชักซ้อมอย่างเคร่งครัด และประสานความร่วมมือกับสถานพยาบาลเครือข่ายในพื้นที่ที่ดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป