เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2464 พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ฝ่ายสืบสวน เรียกประชุมชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดี อดีตผู้กำกับโจ้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันทรมานผู้ต้องหาจนถึงแก่ความตาย ฯลฯ ในกรณีที่ครอบครองรถซูเปอร์คาร์ และสร้างรายได้มหาศาลจากราวัลนำจับรถยนต์ซูเปอร์คาร์หนีภาษี
พล.ต.อ.สุชาติ เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อประชุมกับคณะทำงาน เร่งรัดติดตามความคืบหน้าของ “อดีตผู้กำกับโจ้” โดยมี พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม รองจเรตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการกองปราบปราม และ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เข้าร่วมด้วย
พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. เปิดเผยก่อนการประชุมว่า วันนี้ไปติดตามความคืบหน้าประเด็นการครอบครองรถหรู และประเด็นการก่อเหตุใช้ถุงพลาสติกดำคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดใน สภ.เมืองนครสวรรค์
ภายหลังการประชุม รอง ผบ.ตร.แถลงว่า คดีของพ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล นั้นแยกเป็นคดีในพื้นที่ จ.นครสวรรค์ ซึ่งตำรวจกองปราบปรามรับผิดชอบ 4 คดี ทั้ง 4 คดีมีหลักฐานเพียงพอดำเนินคดีกับ “ผู้กำกับโจ้” และผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง คาดส่งสำนวนในอัยการได้ภายในเดือน พ.ย.นี้
ส่วนเรื่องการอายัดทรัพย์สิน และที่มาของรถ ที่พบที่บ้านของผู้ต้องหาและรถที่เกี่ยวข้องกับผู้กำกับโจ้ นั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ เผยว่า ตรวจสอบพบว่า อดีตผู้กำกับโจ้ได้ดำเนินการจับกุมรถที่หลบเลี่ยงการเสียภาษีนำเข้ามาในประเทศไทย 410 คัน จากการตรวจสอบ พบข้อมูลที่สำคัญว่า รถดังกล่าวส่วนใหญ่จำหน่ายในมาเลเซีย และสิงคโปร์ ตั้งแต่ 2554 ในช่วงที่อดีตผกก.โจ้ เป็นสารวัตร
“ในจำนวนนี้ 270 คันมีการแจ้งหายไว้ในต่างประเทศ แบ่งเป็น 2 พฤติกรรม 1.แจ้งหายก่อนตรวจยึด 101 คัน 2.แจ้งหายหลังตรวจยึด 169 คัน ที่เหลือไม่พบข้อมูลการนำเข้าผ่านประเทศไทย ตรงนี้ต้องดำเนินการตรวจสอบต่อ”
“ผกก.โจ้เกี่ยวข้องกับรถทั้ง 410 คัน ที่ยึด ประมูลศุลกากร และเอาเงินรางวัล ในจำนวนนี้มีทั้ังอดีตตำรวจและตำรวจที่ยังรับราชการ มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมจับกุม ส่วนรถของผกก.โจ้ที่พบที่บ้านไม่ผิดกฎหมายอะไร”
รองผบ.ตร.กล่าวว่า คนที่ร่วมจับกุมเป็นคนเดิมๆ บางส่วนมีหน้าที่ในหน่วยงานปราบปรามยาเสพติด แต่ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงที่ทำหน้าที่ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์
พล.ต.อ.สุชาติ กล่าวว่า รถทั้ง 410 คัน ที่จับกุม อาจมีบางส่วนที่การจับกุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีประเด็นการกระทำผิดหลายประเด็น อาทิ มีการตรวจยึดรถที่นำเข้าจากมาเลเซีย ยึดก่อนรถเข้ามาในประเทศด้วยซ้ำ นี่ยกตัวอย่างเฉยๆ เราพบพิรุธหลายประเด็นด้วยกัน
“รถที่ยึดส่วนใหญ่มีชาวต่างชาติขับเข้ามา ก่อนเดินทางกลับไปด้วยเครื่องบิน ต่อมารถแจ้งหายภายหลัง ตรงนี้มีหลักฐานชัดเจน เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่สามารถบอกชัดในเวลานี้ แต่ดำเนินคดีได้แน่นอน ขอเวลารวบรวมข้อมูลจากกรมศุลกากร จากสถาบันการเงินให้รอบคอบก่อน ในจำนวนนี้มีบางคันประมูลเองด้วย” รองผบ.ตร.กล่าวว่า เหตุที่รถแจ้งหายในต่างประเทศจับได้แล้วไม่ส่งคืนนั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีการทำ MOU เรื่องการส่งคืนรถ
พล.ต.อ.สุชาติ กล่าวว่า พฤติการณ์ของผกก.โจ้ และพวก คือจับกุมเพื่อเอาเงินรางวัลสินบนนำจับ บางคนสอบปากคำไปแล้ว บางคนเกษียณไปแล้ว ตรงนี้ถ้าเกี่ยวข้องกับข้าราชการตำรวจคนใด ทั้งคดีรถและคดีทรมานผู้ต้องหา ดำเนินการตามข้อเท็จจริงไม่ ไม่ละเว้น ตอนนี้สืบสวนไล่เส้นทางทางการเงินของพ.ต.อ.ธิติสรรค์ พบมีส่งต่อไปยังบุคคลอื่น ต่อให้โยกย้ายบัญชีก็ตรวจสอบได้ ดำเนินการตรงไปตรงมา
รองผบ.ตร.กล่าวว่ากรณีที่ตำรวจนายอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการยึดรถเหล่านี้โดยมิชอบ ตำรวจที่เกี่ยวข้องรวมทั้งผกก.โจ้ จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรืออาจมีความผิดอื่น เช่นสำแดงเอกสารเท็จ เมื่อตรวจสอบชัดดำเนินคดีกับตำรวจกลุ่มนี้แน่นอน ตอนนี้ยังบอกจำนวนผู้เกี่ยวข้องไม่ได้ ต้องรอรายละเอียดจากหน่วยอื่นๆที่เกี่ยวข้องและประเทศเพื่อนบ้านก่อนจึงสรุปได้
พล.ต.อ.สุชาติ ระบุว่า หลังจากนี้ตนมอบหมายให้พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง สืบสวนขยายผล ในส่วนประสานงานหน่วยต่างๆ ตรงนี้ได้ติดตามทำหนังสือไปยังประเทศต้นทาง และบริษัทผู้ผลิต ประสานไป 7 หน่วยงาน มอบพล.ต.ท.สมพษ์ ไปแยกแยะพฤติการณ์ การจับกุมรถทั้ง 410 คัน ในส่วนรถที่ไม่พบข้อมูลการนำเข้ามา 140 คัน ไม่รู้เข้ามาได้อย่างไร มาโผล่ได้อย่างไร ก็ไม่เชิงเป็นการขโมยรถ แต่เป็นการกล่าวอ้างว่าจับกุม ตรวจยึด แต่การตรวจยึดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยังไม่ยืนยัน 100%การนำรถเข้ามา และการตรวจยึดจับกุมเป็นขบวนการเดียวกันหรือไม่ ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น
รองผบ.ตร.ระบุว่ าขบวนการนำรถเข้ามาไม่เกี่ยวกับบริษัทนำเข้ารถ แต่มีบุคคลนำเข้ามา ตรงนี้ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบวิธีการเข้าเมืองทั้งขาเข้าและขาออก ว่ามีอะไรที่เป็นความผิดตามกฎหมายในประเทศไทยอย่างไรบ้าง และแต่ละคนนำเข้ารถกี่คัน กี่ครั้ง ใครเป็นนอมินี ข้อมูลส่วนนี้สั่งการให้ ตม.ไปตรวจสอบเพิ่มเติม
พล.ต.อ.สุชาติ กล่าวว่า ขณะที่คดีของผกก.โจ้ ในคดีคดีที่นครสวรรค์ คืบหน้า 90 %แล้ว คดีเกี่ยวกับรถพบข้อมูลเพิ่ม ขยายประเด็นเพิ่ม รถ410 คันมีรายละเอียดเยอะมาก ตอนนี้ทำได้ 70% แล้ว คาดว่าจะจบในสิ้นปีนี้