(20 ก.ค.) สิงคโปร์ประกาศให้กลับมาอยู่สภาวะกึ่งล็อกดาวน์อีกครั้งหลังจากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นในรอบ 11 เดือน หลังจากเกิดคลัสเตอร์ย่านสถานบันเทิง
.
จากที่มีการประกาศว่าพบผู้ติดเชื้อ 182 ราย ทำให้ทั้งประเทศต้องกลับไปคุมเข้มอีกครั้ง โดยสั่งปิดร้านอาหาร และสถานบริการในร่มอย่างเช่นฟิตเนส รวมถึงจำกัดการรวมตัวของประชาชนได้เพียงแค่ 2 คน
.
ก่อนหน้านี้ สิงคโปร์ต้องการที่จะจัดการการระบาดของโรค จากการระบาดใหญ่(pandemic) ให้เหลือเพียงการระบาด(endemic) แต่ทว่าตัวเลข 46% ของประชากร 5.5 ล้านคน ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว และ 73% ของประชากร ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส ก็ยังไม่สามารถทำให้สิงคโปร์ก้าวไปสู่ขั้นต่อไปของการจัดการโควิดได้
.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ Gan Kim Yong ได้กล่าวว่า“บางคนถามว่าทำไมจะต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น หากเราวางแผนว่าจะต้องใช้ชีวิตร่วมกับโควิดอยู่แล้ว แล้วมันจะเข้ากับแผนจัดการการระบาดได้อย่างไร”
.
“ทิศทางของเรายังไม่เปลี่ยน แต่ว่า แผนการที่จะใช้ชีวิตร่วมกับโควิด ต้องเจาะจงลงไปว่าเราจะเพิ่มจำนวนการฉีดวัคซีนได้อย่างไร ในขณะที่เราก็ต้องควบคุมตัวเลขผู้ติดเชื้อ เพื่อป้องกันผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโดยเฉพาะคนชรา”
.
โดยกลุ่มผู้เสี่ยงสูงในสิงคโปร์ มีมากกว่าแสนคนที่มีอายุมากกว่า 70 ปี และยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน
.
รัฐบาลสิงคโปร์กำลังพยายามรับมือกับตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัวจากหลายสัปดาห์ก่อน โดยกำหนดกฎว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเท่านั้น จะได้รับอนุญาตให้ออกมากิน ดื่มเป็นกลุ่ม 5 คนได้ ส่วนคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนนั้นอนุญาตให้จับกลุ่มได้เพียงครั้งละ 2 คน
.
อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ได้ย้อนกลับมาตั้งการ์ด โดยยกมาตรการระดับ 2 ของประเทศกลับมาใช้ (เช่น การรวมกลุ่มไม่เกิน 2 คน, การซื้ออาหารกลับไปกินที่บ้าน) โดยจะเริ่มในวันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคมนี้ จนถึงวันที่ 18 สิงหาคม
.
คลื่นผู้ติดเชื้อโควิดรอบล่าสุด มีสาเหตุจากย่านสถานบันเทิง KTV ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นย่านคาราโอเกะ
.
ประเทศสิงคโปร์นั้นใช้วัคซีนชนิด mRNA ของไฟเซอร์และโมเดอร์นา และอนุญาตให้รับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีแนวโน้มเสี่ยงต่ำเข้ามาเที่ยวได้โดยไม่ต้องมีการกักตัว