เมื่อวันที่ 4 ก.พ. น.ส.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้อำนวยการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดเผยว่า ในปีนี้การยาสูบฯ มีแผนขึ้นราคาบุหรี่อีกหลายชนิด เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่ ที่จะขึ้นภาษีบุหรี่ซองราคาไม่เกิน 60 บาท จาก 20% เป็น 40% ในวันที่ 1 ต.ค.2562 นี้
โดยเบื้องต้นจะขึ้นราคาบุหรี่ที่ขายซองละ 60 บาท ซึ่งมีอยู่ 5 ยี่ห้อ 10 ชนิด เป็นซองละ 93 บาท หรือขึ้นซองละ 33 บาท ส่วนบุหรี่ที่ขายเกินซองละ 90 บาท ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาจะขยับราคาขึ้นไปด้วย ซึ่งอาจเป็นซองละหลักร้อยบาทก็ได้
“การขึ้นราคาเช่นนี้ไม่ได้เพราะการยาสูบฯ ต้องการมีกำไรเยอะ แต่ต้องปรับ เพราะภาษีสรรพสามิตใหม่คิดคำนวณจากราคาปลีก เมื่อมีการขึ้นภาษีมาถึง 1 เท่าตัว การยาสูบก็ต้องขยับราคาตามไม่เช่นนั้นก็จะขาดทุน โดยกำไรจากภาษีปัจจุบันตกอยู่ซองละ 10 สตางค์เศษๆ แต่ถ้าขึ้นราคาตามภาษีใหม่กำไร ก็ใกล้เคียงกับเดิมไม่ได้ต่างกันมากนัก อย่างไรก็ตามระหว่างนี้หากรัฐบาลมีการชะลอการขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ 40% ออกไปก่อน ก็ยังจะขายราคาเดิมได้ไม่ต้องปรับขึ้นราคา”
นอกจากนี้ ในปีนี้การยาสูบฯ ยังมีแผนปรับการตลาดเพื่อแข่งขันกับผู้ผลิตและจำหน่ายบุหรี่จากต่างประเทศมากขึ้น โดยล่าสุดเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการออกบุหรี่ใหม่อีก 1 ยี่ห้อ ขายซองละ 55 บาท ซึ่งเป็นบุหรี่ที่ราคาถูกที่สุดของการยาสูบฯ มาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อไม่สูง และกลุ่มผู้สูบที่ต้องการบุหรี่สูตรเย็นจัด เพื่อใช้แข่งขันทำตลาดกับบุหรี่ต่างประเทศ ซึ่งมีการลดราคาออกมาแข่งในช่วงก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกันการยาสูบฯ ยังพิจารณาขยายตลาดยาเส้นเพิ่มเติม โดยจะมีการผลิตออกมาอีกหลายยี่ห้อ เพราะผลสำรวจพบว่านับตั้งแต่รัฐบาลปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ ได้ทำให้กลุ่มคนที่มีรายได้ไม่สูง หรือกลุ่มชาวบ้านตามต่างจังหวัด เลิกสูบบุหรี่และหันไปสูบยาเส้นเพิ่ม เพราะมีราคาถูกกว่าบุหรี่มาก
เช่น บุหรี่ซองละ 60 บาท แต่ยาเส้นขายเพียง 10-15 บาท สำหรับเป้าหมายผลดำเนินธุรกิจในปี 2562 การยาสูบฯ คาดว่าจะผลิตและจำหน่ายได้ประมาณ 19,000 ล้านมวน ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และมีกำไรอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท ลดลงจากปีนี้ที่กำไร 900 ล้านบาท ซึ่งลดลงกว่า 20 เท่าตัว เมื่อเทียบกับกำไรก่อนหน้าปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ซึ่งในปี 2560 การยาสูบฯ เคยมีกำไรสูงถึง 9,800 ล้านบาท
น.ส.ดาวน้อยกล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลช่วยทบทวนการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่ เพราะที่ผ่านมาพบว่าไม่ได้ทำให้อุตสาหกรรมโดยรวมดีขึ้น เห็นได้จากการจัดเก็บรายได้ภาษีบุหรี่ของกรมสรรพสามิตไม่ได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้คนสูบบุหรี่ลดลง แต่คนสูบหันไปสูบยาเส้นที่ภาษีต่ำกว่าแทน
รวมถึงยังมีบุหรี่หนีภาษีลักลอบนำเข้าจากนอกประเทศมาขายมากขึ้น เนื่องจากราคาขายในไทยสูงกว่าต่างชาติมาก จึงมีแรงจูงใจให้เกิดการลักลอบนำเข้ามาขายเพิ่ม และที่สำคัญเมื่อการบริโภคบุหรี่ลดลงก็จะมีผลต่อการรับซื้อใบยาจากชาวไร่ยาสูบในอนาคตอีกด้วย
นายสุธี ชวชาติ ตัวแทนภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบ กล่าวว่า ที่ประชุมตัวแทนภาคีเครือข่ายฯ มีมติให้ยื่นหนังสือถึงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เลื่อนการขึ้นภาษีบุหรี่ตามมูลค่าเป็น 40% ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ต.ค.2562 นี้ไปก่อน ซึ่งควรจะเลื่อนการขึ้นภาษีก่อนมีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อไม่ให้ชาวไร่ได้รับผลกระทบต่อการประกอบอาชีพ รวมถึงยังเตรียมยื่นสรุปผลการประชุมฯ ให้แก่พรรคการเมืองต่างๆ ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เพื่อผลักดันนโยบายเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป สำหรับดูแลปากท้องชาวไร่ยาสูบอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ตัวแทนยาสูบทั่วประเทศเห็นพ้องว่า หากขึ้นภาษีบุหรี่ 40% อาจทำให้ชาวไร่ยาสูบต้องสูญสิ้นอาชีพสุจริตนี้ไป เพราะจากการขึ้นภาษีสรรพสามิตครั้งล่าสุดเมื่อปี 2560 ทำให้ชาวไร่ยาสูบรายได้หายไป 230 ล้านบาทในฤดูกาลปลูกปี 61/62 เนื่องจากถูกลดโควตาการรับซื้อใบยาลงเฉลี่ย 50% แม้รัฐบาลจะช่วยแก้ปัญหาระยะสั้นด้วยการมีมติ ครม.อนุมัติงบกลางวงเงิน 159 ล้านบาท เพื่อชดเชยการสูญเสียรายได้ของชาวไร่ยาสูบที่ถูกตัดโควตา แต่ก็เป็นการช่วยเหลือสำหรับฤดูกาลปลูกเดียวเท่านั้น
Cr.topicza
สำนักข่าววิหคนิวส์