ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2562 ของสมาคมอสังหาริมทรัพย์ชลบุรี ณ โรงแรมฮิลตัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้บรรยายถึงสภาพการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลชุดใหม่โดยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวตลอดครึ่งปีแรก
จับตารัฐบาลใหม่
สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้ ด้านการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนถึง 75% ของ GDP ซึ่งยอดขายล้วนมาจากต่างประเทศ โดยประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกที่ตามหลังสหรัฐ-จีน-ญี่ปุ่น ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลก 3 ใน 4 ของ GDP ทั้งหมด และเชื่อว่าในปีนี้ เศรษฐกิจโลกโตช้ากว่าปีที่ผ่านมา โดยมาตรการ QE ร่วมกับมาตรการด้านภาษีของทรัมป์ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วในช่วง 2017 ทำให้ปัจจุบันนโยบายลดภาษีของทรัมป์กำลังจะหมดยุคไป
ตัวเลขของธนาคารกลางสหรัฐระบุว่า ในอีก 18 เดือนภาวะเศรษฐกิจจะถดถอย แต่ถ้ามีดอกเบี้ยระยะสั้นสูงกว่าดอกเบี้ยระยะยาว แบงก์ชาติอาจจะสามารถอุ้มเศรษฐกิจได้ หากเงินเฟ้อไม่สูง ส่วนภาวะเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป 27 ประเทศ อย่าง เยอรมนี, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อิตาลี ต่างก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน ฉะนั้น ภาวะเช่นนี้ “มีความไม่มั่นคง การลงทุนจึงแผ่วลง” ดร.ศุภวุฒิกล่าว
สำหรับประเทศไทย ซึ่งต้องพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว รวมถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือ กระบวนการถ่ายโอนอำนาจระหว่างรัฐบาลชุดเก่ากับรัฐบาลชุดใหม่จะใช้เวลานาน คาดว่า เศรษฐกิจและกำลังซื้อจะชะลอตลอดช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 ประกอบกับมีภาวะสุญญากาศทางการเมืองที่ต้องรอ
“ทำให้เศรษฐกิจในปีนี้โตไม่ได้มาก” สอดรับกับแนวโน้มของเศรษฐกิจโลก หนี้ครัวเรือนยังค่อนข้างสูง รายได้ภาคการเกษตรแย่มาก เงินเฟ้อโดยรวมต่ำมาโดยตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ต่ำกว่าสหรัฐโดยเฉพาะ 3-4 ปีให้หลัง เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาตลอดจากดัชนีราคาสินค้าส่งออกราคาขึ้นไป 5% ในระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา
เศรษฐกิจโลกโตช้าลง
ดร.ศุภวุฒิได้ขยายความเพิ่มเติมในประเด็นของเศรษฐกิจโลกว่า แบงก์ออฟอเมริกาคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้โตช้ากว่าปีที่แล้วจาก 3.8% เป็น 3.4% ซึ่งบ่งบอกถึง “การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก” โดยแบงก์ออฟอเมริกาคาดการณ์ว่า ปี 2563 จะดีขึ้นเป็น 3.6% แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ประเทศตลาดเกิดใหม่จะอุ้มเศรษฐกิจโลกเอาไว้ โดยเห็นว่าประเทศตลาดเกิดใหม่ GDP จะโตจาก 4.36% มาที่ 4.9% หรือจีนก็จะโตจาก 6.1% เป็น 6.2% แต่ประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่คาดการณ์ไม่ค่อยเป็นบวกเท่าไร เช่น สหรัฐจาก 2.2% เหลือ 1.8% เนื่องจากแรงส่งจากนโยบายการลดภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์จะเริ่มแผ่วตั้งแต่ประมาณกลางปี 2562 เป็นต้นไป
ในส่วนของสหภาพยุโรปคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจาก 1.1% เป็น 1.5% แต่ตัวเลขล่าสุดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ปัจจุบันนั้นมัน “ไม่ได้ดีอย่างที่คาด” ตรงนี้คือ PMI หรือตัวเลขการลงทุนของผู้ประกอบการยุโรปปักหัวลง ตัวเลขดีไม่เท่าใน 2 ภูมิภาคใหญ่ คือ สหภาพยุโรปกับจีน ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นทรง ๆ นักวิเคราะห์กำลังติดตามดูว่าต้องปรับการคาดการณ์เพียงใด รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ มีอะไรบ้าง ทั้งสงครามการค้า เศรษฐกิจยุโรป เศรษฐกิจจีน และเงินเฟ้อในสหรัฐ
เยอรมนี-อังกฤษสุญญากาศการเมือง
นอกจากนี้ ในสหภาพยุโรปยังมีประเด็นสำคัญในด้านการเมืองที่มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ นั่นคือการที่อังกฤษจะขอออกจากสหภาพยุโรป รวมไปถึง 4 ประเทศหลักของสหภาพยุโรปที่มี GDP 62.5% ของทั้งกลุ่ม ได้แก่ เยอรมนี-อังกฤษ-ฝรั่งเศส-อิตาลี “แต่ละประเทศมีปัญหากันหมดเลย” โดยเยอรมนีเศรษฐกิจตอนนี้กำลังดิ่งลงแรงกว่าที่คาดไว้ ใครที่ติดตามดูตัวเลขก็จะเห็นกรณีที่ อังเกลา แมร์เคิล
นายกรัฐมนตรีเยอรมนี “เริ่มขาลอยเพราะลาออกจากเป็นหัวหน้าพรรคแล้วเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ” ซึ่งจะหลุดจากตำแหน่งในปลายปีนี้แล้ว ดังนั้นจึงมีช่วงสุญญากาศในเรื่องการเปลี่ยนผู้นำเหมือนกัน ด้านอังกฤษที่ยังมีประเด็นเรื่อง Brexit เงื่อนไขล่าสุดก็คือ ถ้ารัฐสภาอังกฤษไม่สามารถที่จะเห็นชอบกับข้อตกลงที่ เทเรซา เมย์ ตกลงไว้ แปลว่า สหภาพยุโรปยืดเวลาให้ออก “แต่ว่าต้องออกอย่างหัวซุกหัวซุน” เป็นวันที่ 12 เมษายน แต่ถ้ารัฐสภาอังกฤษยอมรับข้อตกลงที่ เทเรซา เมย์ ทำกับสหภาพยุโรป ก็จะสามารถที่จะให้เวลาในการทำกฎหมายรองรับกฎหมายลูกได้ถึงวันที่ 22 พฤษภาคม
ในขณะที่ฝรั่งเศสก็มีม็อบเสื้อเหลือง อิตาลีเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยและมีปัญหาเรื่องนโยบายการคลัง เพราะฉะนั้น 4 ประเทศค่อนข้างที่จะอยู่ในช่วงขาลงหมดเลย ทั้งนี้ อิตาลีนั้นได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว GDP ติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส
จีนแข่งสหรัฐสู่การเป็นมหาอำนาจ
ประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ เป็นสถานการณ์สำคัญด้านการเมืองโลกที่ส่งผลกับภาพรวมเศรษฐกิจ ในเชิงยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ การส่งออกสหรัฐ “เคยมากกว่า” จีนเท่าตัว ตอนนี้ส่งออกสหรัฐตกไปแล้ว การส่งออกเป็นศักยภาพของมหาอำนาจ การนำโดยการพึ่งพาคนอื่น 2.2 ล้านล้าน ส่วนของจีนแค่ 1.8 ประชากรของจีนมี 1.4 พันล้านคน จีนเริ่มจะเป็นชาติมหาอำนาจใกล้เคียงอเมริกา ถ้าโตได้ขนาดนี้ภายในปี 2028 จะเท่ากับสหรัฐ ซึ่งสี จิ้นผิง แก้รัฐธรรมนูญให้ตัวเองเป็นประธานาธิบดีได้ตลอดชีวิต ภายในปี 2028 จีนจะเป็นมหาอำนาจเทียบเท่าอเมริกา และอาจจะดีกว่าด้วย
“ดังนั้น ถ้าสหรัฐไม่สกัดจีนวันนี้จะไปสกัดจีนวันไหน เพราะสิ่งที่เป็นประเด็นตอนนี้ไม่ใช่แค่การค้า แต่เป็นประเด็นว่า อีก 10 ปีใครจะเป็นมหาอำนาจ ถามว่า ตอนนี้จีนด้อยกว่าอเมริกาในด้านไหนบ้าง คือ ด้านเทคโนโลยี เพราะสำคัญที่สุดในโลก อีก 10 ปีข้างหน้าคือ 5G ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่เรียกว่า อินเทอร์เน็ตออฟทิงส์ หุ่นยนต์ทำแทนได้ ใครเป็นเจ้าของ 5G คนนั้นเป็นเจ้าของเศรษฐกิจโลก ตอนนี้ประเทศที่มีศักยภาพ 5G มากที่สุด คือ หัวเว่ย กับ ZTV” ดร.ศุภวุฒิกล่าว
ปัญหาของอเมริกาก็คือ มีเทคโนโลยี แต่ไม่มีศักยภาพรองรับ 5G ได้ ไม่มีศักยภาพในการผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ บริษัทที่เป็นส่วนหนึ่งของอเมริกาไม่มีศักยภาพเท่ากับ “หัวเว่ย” เท่ากับ “ZTV” หรือแม้กระทั่งบริษัทอื่น ๆ ของเกาหลี-ไต้หวัน ฉะนั้นตอนนี้เป็นเรื่องของการชิง 5G สหรัฐก็เลยต้องบีบบริษัทต่าง ๆ ในยุโรปให้ปฏิเสธหัวเว่ย ซึ่งบางประเทศปฏิเสธหัวเว่ยแล้ว
โดยเฉพาะประเทศที่มีความสัมพันธ์กับอเมริกาทางด้านความมั่นคงสูง ก็คือประเทศที่ CIA บอกว่าจะยอมให้เข้าถึงข้อมูลของ CIA ทั้งหมด ได้แก่ 4 ประเทศหลัก คือ แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และอังกฤษ เพราะทุกอย่างมันเกินไปกว่าแค่เรื่องการค้าไปแล้ว
Cr.ประชาชาติธุรกิจ
สำนักข่าววิหคนิวส์