7 ก.ย.2565 – จากนั้นเวลา 16.40 น. นายสมชาย แสวงการ ส.ว. อภิปรายว่า ยืนยันร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 4 ร่างยังไม่ควรผ่าน ส่วนการแก้ไขมาตรา 272 นั้น เราจะต้องเคารพประชามติที่ประชาชนโหวตให้ผ่าน ซึ่งตนก็จะทำหน้าที่นี้ต่อไปเพราะประชาชน 15 ล้านเสียงลงมติรับรองให้อำนาจส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม มาตราดังกล่าวอยู่ในบทเฉพาะกาล ถ้าเข้าใจก็จะไม่ต้องเสียเวลาขอแก้ไข เพราะเมื่อครบ 5 ปีก็จะไม่มีผล รัฐธรรมนูญปี 60 ออกแบบมาเพื่อแก้วิกฤตต่างๆ และในระยะเปลี่ยนผ่านที่ผ่านมารัฐธรรมนูญจึงกำหนดให้ส.ว.มาช่วยสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้หมายความว่าให้ส.ว.เป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ดังนั้น การเลือกตั้งคราวหน้าในส่วนของสภาฯ ก็รวมเสียงให้ได้ 250 เสียงขึ้นไป แล้วเสนอให้สภาฯ
นายสมชาย ยังได้กล่าวถึงการอภิปรายตลอดสองวันว่า โดนส.ส.กระแนะกระแหน และใช้ถ้อยคำเสียดสี ดังนั้นจึงขอเรียนว่า อดทน อดกลั้นมาถึงสองวัน เดิมอยากเห็นสภาแห่งนี้เป็นที่พูดคุยกัน แต่ส.ว.กลับโดนตบกะโหลก การจะขอให้ส.ว.ช่วยลงมติให้ในครั้งนี้จำนวน 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งสองสภา ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดก็สามารถทำได้ เพราะเคยลงมติเรื่องแก้ระบบบัตรเลือกตั้งสองใบให้ไปแล้ว และเมื่อครั้งที่แล้วเสนอขอแก้ไขมาตรา 272 ก็มีส.ว. 56 คนลงมติให้ แต่ครั้งนี้กลับมีสมาชิกใช้วาจาส่อเสียดส.ว.มากเกินไป ตนจึงไม่แน่ใจว่าส.ว.ที่เคยลงมติให้ไปครั้งที่แล้ว จะลงมติครั้งนี้อย่างไร แต่สำหรับตนลงมติให้ไม่ได้ เพราะจะเท่ากับว่าโดนตบหัวแล้วลูบหลัง
“วันหน้าถ้าท่านจะเข้าสู่การเลือกตั้ง และมีสมาชิกหลายพรรคบอกว่าจะไปรณรงค์แก้รัฐธรรมนูญใหม่ ผมก็เห็นด้วยหรือขอแนะนำอีกประการ ถ้าท่านไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญนี้ เพราะเห็นว่าเป็นมรดกทรราชย์ หรือเป็นของคสช. หรือของเผด็จการ และไม่อยากทำงานร่วมกับส.ว. ผมแนะนำท่านไม่ต้องกลับมาลงเลือกตั้งจะได้ไม่ต้องมาเจอกันอีกและเมื่อพวกผมพ้นไปแล้ว พวกท่านค่อยกลับเข้ามาสมัครใหม่ อย่าไปยอมรับกติกาที่ผ่านประชามติที่บอกว่าถูกบังคับ ถูกจี้ ถูกจับ ถ้าไม่เห็นด้วยกับกติกาเหล่านี้อย่าลงเลือกตั้ง เว้นไปสักระยะให้พวกผมผ่านบ้านผ่านเมืองเปลี่ยนไปก่อน แล้วพวกท่านค่อยกลับมาอย่างสบายใจ พวกผมก็จะไม่อยู่ดูหน้าพวกท่านอีก เพราะอีก 2 ปีก็จะพ้นไปแล้ว ขอเรียนพวกท่านว่าไม่ใช่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ท่านเข้ามาอยู่ในสภาแห่งนี้ก็ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับนี้” นายสมชาย กล่าว