ช่วงนี้เป็นช่วงที่รัฐบาล จะได้พุ่งเป้าโจมตีเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ที่ติดลบทั้งประเทศ และยังดูไม่ออกว่า เศรษฐกิจจะกลับมาดีได้อีกครั้งตอนไหน ซึ่งหลายฝ่ายก็พยามที่จะหาทางออก ทางฝั่งตัวรัฐบาลเองก็ออกมาตรการต่างๆ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ การจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศมากมาย ส่วนทางฝ่านค้านก็ออกมาโจมตีให้รัฐบาลลาออก พร้อมแก้รัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งอีกรอบ
.
โดยวันนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan ในเชิงที่ว่า น่าเศร้าที่เศรษฐกิจประเทศจะแย่ลงอีก เนื่องจากรัฐบาลไม่ยอมลาออก เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีไม่ได้ หนำซ้ำ รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดยังปูทางให้พล.อ.ประยุทธ์สืบทอดอำนาจต่อไปได้อีกยาวๆ โดยข้อความทั้งหมดของบทความ นางสุดารัตน์ ระบุว่า
.
ข่าวที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเลือกที่จะเดินทางไปเยือนเวียดนาม และอินโดนีเซีย ย้ำด้วยข่าวผู้ผลิตรถ Tesla จะไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถไฟฟ้าที่อินโดนีเซีย และอินเดีย รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตของพานาโซนิคไปเวียดนาม คือการส่งสัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจมายังประเทศไทยว่า ไทยกำลังจะเสียฐานการผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นอันดับ 1
.
โดยหลังสงครามเวียดนามไทยได้เปลี่ยนฐานการผลิตจากเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรมมีการตั้งสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไทยจึงเป็นประเทศพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก (Export Led Growth Economy)
.
แต่เม็ดเงินส่วนใหญ่มาจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า FDI (Foreign Direct Investment) อันเป็นสินค้าหรือเทคโนโลยีของต่างประเทศ แต่มาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต เช่น รถยนต์ที่เราเป็นฐานการผลิตรถปิกอัพขนาด 1 ตันใหญ่ที่สุดในโลก สร้างรายได้ให้กับประเทศถึงปีละ 1 ล้านล้านบาท สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
.
คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุต่อว่า หากพิจารณาสินค้าส่งออกที่ทำรายได้สูงสุด 10 อันดับแรก จะพบว่าเป็นสินค้าของต่างชาติที่มาลงทุนในไทยแทบทั้งหมด มีเพียงรายการเดียวที่เป็นของไทยคือผลิตภัณฑ์ยางพารา เหตุที่ต่างชาติมาลงทุนเพราะในอดีตไทยมีสิ่งจูงใจนักลงทุน ได้แก่ ค่าแรงถูก
.
ไทยเป็นประเทศที่มีขนาดทางเศรษฐกิจที่ได้เปรียบ มีกำลังซื้อ และการเมืองสงบ ที่สำคัญคือเราได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) จากประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ทำให้นักลงทุนแห่กันมาลงทุนในไทยจนทำให้ไทยมีรายได้ที่มาจากการส่งออกถึงร้อยละ 70 ของจีดีพี แต่ปัจจุบันข้อได้เปรียบหรือแรงจูงใจเหล่านี้สำหรับประเทศไทยหมดไปแล้ว
.
สมัยรัฐบาลไทยรักไทย เรามองออกล่วงหน้าว่า วันหนึ่งความได้เปรียบทางด้านสิทธิพิเศษทางภาษีจะหมดไป เราจึงเข้าสู่การเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศ เพื่อเอามาทดแทนสิทธิพิเศษทางภาษีเป็นแรงจูงใจนักลงทุน
.
แต่ผลจากการยึดอำนาจทำให้ประเทศคู่ค้าสำคัญหยุดการเจรจา จนกระทั่งเราถูกตัด GSP ทำให้ความได้เปรียบของไทยหมดไป นั่นคือต้นเหตุที่ทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตที่มีสาเหตุมาจากการยึดอำนาจ
.
คุณหญิงสุดารัตน์ ได้ระบุอีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยเรายังถูกซ้ำเติมด้วยกระแสคลื่นยักษ์อีก 2 ระลอกคือ เทคโนโลยีใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล ที่ทำให้เกิด Disruption ในทุกมิติ แน่นอนกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อภาคธุรกิจ และยังมาเกิดโรคโควิด-19 ยิ่งทำให้ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวครั้งใหม่อย่างรวดเร็ว เราจะพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมเดิมๆ ที่เป็นความสำเร็จในอดีตต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
.
เราต้องมองหา ฐานรายได้ใหม่ จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ๆ และมองหาโอกาสใหม่ให้เจอในโลกหลังโควิด-19 ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณของแผ่นดินต้องลงไปสู่การสร้างฐานรายได้ใหม่
.
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือจนบัดนี้ รัฐบาลยังไม่รู้สาเหตุของปัญหา รัฐบาลยังคงทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปในทิศทางเก่าๆ อย่าง EEC ทั้งๆ ที่ประเทศไทยไม่มีความได้เปรียบในสายตาของนักลงทุนอีกต่อไปแล้ว
.
นางสุดารัตน์ ได้โพสต์ทิ้งท้ายว่า ที่น่าเศร้าคือ คนไทยไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงมีการเลือกตั้งก็จะได้ พล.อ.ประยุทธ์ และระบอบประยุทธ์ อยู่ต่อไปอีก
——————————-
แหล่งข่าว
https://mgronline.com/politics/detail/9630000104020
——————————-