เรื่องฮอต ประเด็นฮิต » #หนี้ครัวเรือนทะยาน ! แตะ 14.13 ล้านๆ

#หนี้ครัวเรือนทะยาน ! แตะ 14.13 ล้านๆ

3 July 2021
387   0

   สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 มิ.ย. ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ครัวเรือน หรือหนี้สินครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 1/2564 พบว่า หนี้สินครัวเรือนไทยใอยู่ที่ 14.13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 90.5% ต่อจีดีพี เทียบกับไตรมาส 4/2563 ที่หนี้สินครัวเรือนไทยอยู่ที่ 14.04 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 89.4% ต่อจีดีพี โดยหนี้สินส่วนใหญ่ หรือ 12.17 ล้านล้านบาท เป็นหนี้สินที่ครัวเรือนกู้ยืมจากสถาบันรับฝากเงิน

(ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย)

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนล่าสุดในไตรมาส 1/2564 ที่มียอดคงค้าง 14.13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90.5% ต่อจีดีพีนั้น เป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 ปี ตามสถิติที่มีการเก็บรวบรวมของ ธปท. และสูงขึ้นต่อเนื่องจากระดับ 89.4% ต่อจีดีพี ในไตรมาสที่ 4/2563 โดยหนี้ครัวเรือนที่ขยับขึ้นในไตรมาส 1/2564 ประมาณ 88,138 ล้านบาท มาจากหนี้ 3 กลุ่ม ได้แก่

1.หนี้บ้าน ซึ่งยอดคงค้างหนี้บ้านเพิ่มขึ้น 5.53 หมื่นล้านบาทจากไตรมาสก่อน โดยสอดคล้องกับแคมเปญกระตุ้นยอดขายของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบ ราคาประมาณ 1-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งผู้กู้หรือครัวเรือนยังคงเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ รายได้ปานกลางค่อนไปทางสูง (ไม่ถูกกระทบมากนักจากสถานการณ์โควิด) ซึ่งทำให้ยังคงมีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ได้

2.หนี้เพื่อประกอบอาชีพ ซึ่งยอดคงค้างหนี้ประกอบอาชีพเพิ่ม 4.01 หมื่นล้านบาทจากไตรมาสก่อน เนื่องจากผู้กู้หรือครัวเรือนจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อหนุนสภาพคล่อง และใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการประคับประคองกิจการในช่วงที่โควิด-19 ยืดเยื้อ ซึ่งมีผลกระทบต่อเนื่องต่อรายได้และยอดขาย

3.หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคทั่วไป ซึ่งยอดคงค้างหนี้อุปโภคบริโภคทั่วไปเพิ่มขึ้น 3.35 หมื่นล้านบาทจากไตรมาสก่อน เนื่องจากกลุ่มครัวเรือนที่มีปัญหารายได้ฝืดเคือง รายได้ไม่สมดุลกับภาระค่าใช้จ่าย ทำให้ต้องกู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่ายในชีวิตประวัน

“วิกฤตโควิด 19 ที่ลากยาวเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี จะเพิ่มความเสี่ยงต่อเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ พร้อมๆกับตอกย้ำวังวนปัญหาหนี้สินของภาคครัวเรือน โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ หรือมีรายได้ลดลงจนมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระคืนหนี้” ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากผลสำรวจภาวะหนี้สินของประชาชนโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า สถานการณ์รายได้และหนี้สินของประชาชนรายย่อยถดถอยลงมากจากผลของโควิด 19 ระลอกที่สาม และลูกหนี้ห่วงปัญหาหนี้สินของตัวเองมากขึ้น โดยผู้ตอบแบบสอบถามในเดือน มิ.ย. ส่วนใหญ่ราว 79.5% ประเมินว่า ปัญหาหนี้ของตัวเองยังไม่น่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 และผู้ตอบ 26.6% มองว่า ปัญหาหนี้จะแย่ลง เพิ่มขึ้นเทียบกับการสำรวจครั้งก่อน (มี.ค.2564) ที่มีสัดส่วนเพียง 7.8%

นอกจากนี้ ผลสำรวจฯ ยังพบว่าสินเชื่อที่ครังเรือนต้องการรับความช่วยเหลือนั้น ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล คิดเป็นสัดส่วน 45.3% รองลงมาเป็นสินเชื่อเช่าซื้อ คิดเป็นสัดส่วน 25.3% และสินเชื่อบ้าน คิดเป็นสัดส่วน 14.3%

สำหรับแนวโน้มในปี 2564 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับทบทวนตัวเลขประมาณการหนี้ครัวเรือนไทยขึ้นมาอยู่ที่กรอบ 90-92% ต่อจีดีพี (กรอบเดิมคาดที่ 89-91% ต่อจีดีพี)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุด้วยว่า แม้ปัญหาหนี้ครัวเรือนโตสวนทิศทางเศรษฐกิจเป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับหลายๆประเทศ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับประเทศไทย แต่อย่างไรก็ดีศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ไม่มีปัญหาโควิด 19 หนี้ครัวเรือนก็เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างลำดับต้นๆ ของไทยที่รอให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแนวทางแก้ไข ซึ่งสำหรับในปีนี้ น่าจะเห็นการเดินหน้ามาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยหล่อเลี้ยงสภาพคล่อง

การปรับโครงสร้างหนี้เพื่อประคองไม่ให้ลูกหนี้กลายเป็น NPLs และ/หรือทบทวนเพดานดอกเบี้ยผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อย (เพื่อช่วยลดภาระให้กับลูกหนี้ในช่วงที่โควิด 19 ยังไม่สิ้นสุด) ตลอดจนการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ รวมไปถึงการวางแนวทางในระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและหนี้สินของภาคครัวเรือนอย่างจริงจังเมื่อวิกฤตโควิด 19 สิ้นสุดลง โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพในการหารายได้ และดูแลให้การก่อหนี้ของภาคประชาชน สอดคล้องกับรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองมากขึ้น