ข่าวประจำวัน » อาชญากรรม » #หมายจับบอสมิชอบ ! ดร.สุกิจ ฟันธงแม้มีหมายจับบอส อยู่วิทยา ก็รอด

#หมายจับบอสมิชอบ ! ดร.สุกิจ ฟันธงแม้มีหมายจับบอส อยู่วิทยา ก็รอด

26 August 2020
1071   0

โดย ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม

ทนายเทวดาชี้ การออกหมายจับนายวรยุทธ หรือ”บอส” อยู่วิทยา ในข้อหา “เสพโคเคน” ซึ่งเป็นคดีเดิม กฏหมายไม่เปิดช่องให้ตำรวจทำได้

ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม ทนายความชื่อดังได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการที่พนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติหมายจับนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยาว่า คดีนี้ พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ได้ออกหมายจับ นาย”บอส”อยู่วิทยา ในคดีเดิมที่ยังไม่ได้ถอนหมายจับ โดยขอให้ศาลแก้ไขเพิ่มเติมในหมายจับและเพิ่มอีกข้อหาว่า “เสพโคเคน” นั้น ไม่มีกฏหมายรองรับให้ตำรวจทำได้ เพราะคดีเก่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีเสร็จขาดไปแล้ว หมายจับเดิมยอมถูกเพิ่งถอนไปโดยผลของกฏหมาย

แม้ศาลยังไม่ได้ถอนหมายจับ ในคดีอัยการได้วินิจฉัยว่า “เป็นเหตุสุดวิสัย” และถือเป็นที่สิ้นสุดไปแล้ว หมายจับในคดีก็ต้องถูกเพิกถอนไปในตัว “หมายจับ” จึงไม่มีผลตามกฎหมายอีกต่อไป

การที่ตำรวจร้องขอให้ออกหมายจับโดยเพิ่มเติมข้อกล่าวหา “เสพโคเคน” ในคดีเดิมทั้งอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องไปแล้ว มีแนวทางคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติไว้เป็นทำนองว่า “เมื่อพนักงานอัยการหรือตำรวจ มีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” ไปแล้วจะกลับมาเปลี่ยนแปลงความเห็นเดิมเป็น “คำสั่งฟ้อง” อีกไม่ได้ เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกา 1821/2557

ประเด็นการ “เสพโคเคน” เมื่อพยานหลักฐานในสำนวนปรากฎความได้ว่า “เป็นเพียงสารที่เกิดจากกระบวนการสลายตัว (Metabolite) ที่ทำการตรวจเลือดเพียงครั้งเดียว และไม่ใช่เกิดจากการได้รับสารโคเคนเข้าสู่ร่างกายโดยตรง และแม้จะพบสารโคเคนในร่างกายของ “นายบอส” ขณะขับขี่การกระทำนั้นย่อมไม่เป็นความผิด ฐานขับขี่เสพโคเคนตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2558 อยู่ดี

ความผิดฐาน”เสพยาเสพติด” ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ไว้เป็นแนวทางว่า “ตำรวจ” จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาที่5377/2562 ดังนั้น เมื่อผู้ต้องหาให้การปฏิเสธมาโดยตลอด “ตำรวจ” จะตั้งข้อหานี้ได้ จะต้องมีประจักษ์พยานรู้เห็น หรือมีพยานหลักฐานเกี่ยวกับ “อุปกรณ์การเสพ” ที่บ่งชี้ให้เห็นว่า “ผู้ต้องหา” ได้จำนนท์ด้วยหลักฐานปรากฎในสำนวนจริงเท่านั้น ลำพังแค่รายงานการตรวจพบสาร”เสพติด” ในร่างกายของผู้ต้องหานั้น ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาดว่าผู้ต้องหากระทำความผิดในข้อหา “เสพยาเสพติด” ซึ่งเทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8481/2544

“สังคมและสื่อมวลชนอาจจะบอกว่าไปไม่รอด เพราะศาลได้ออกหมายจับในความผิดฐาน “เสพโคเคน” ไปแล้วนั้น แต่ก็ต้องเข้าใจกระบวนการยุติธรรมของศาล เมื่อตำรวจอ้างว่า “ความผิดฐานเสพโคเคน” เป็พยานหลักฐานใหม่” นั้น ศาลท่านก็ต้องรับเป็นคดีใหม่ “ไม่ใช่ไปขอแก้หมายจับ” ที่อัยการสั่งไม่ฟ้องไปแล้ว

อีกทั้งในคดีเสพสารเสพติด แม้จะไม่พบพยานหลักฐานในสำนวน แต่การที่ได้มีการสอบสวนพยานในความผิดดังกล่าว และพนักงานสอยสวนได้ใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาไปแล้ว การสอบสวนพยานเพิ่มเติมจึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่แต่อย่างใด

เหตุที่ศาลออกหมายจับนั้น เป็นเรื่องระหว่าง “ตำรวจกับศาล” นายบอส เพียงตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ยังไม่ได้ตกเป็นจำเลย เมื่อกติกาต้องขอให้ศาลออกหมายจับเพื่อให้ได้ตัวมาสอบสวน จึงเป็นปัญหา”ข้อกฏหมาย” ที่ทนายความของ “บอส อยู่วิทยา” ต้องไปโต้แย้งถึงอำนาจการสอบสวนและหารขอออกหมายจับของตำรวจว่ามีอำนาจและปฏิบัติโดยชอบหรือไม่

ดร.สุกิจ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “สังคมต้องเคารพในกติกาสากล ไม่ใช่กลดันการทำงานของขบวนยุติธรรม กฏหมายจะมีความศักดิ์สิทธิได้นั้น หากทำตามกระแสสังคมก็จะมีการแจ้งความไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คดีก็จะขึ้นสู่ศาลด้วยสาเหตุเดิมๆ เพราะถูกสังคมกดดันนั้น ย่อมกระทำมิได้