กองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน หรืออาร์ซา ออกแถลงการณ์ขอหยุดยิงแต่เพียงฝ่ายเดียวเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม นับแต่วันนี้ (10 ก.ย.) เป็นต้นไป
เพื่อเปิดทางให้องค์กรบรรเทาทุกข์เข้าให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ผู้พลัดถิ่นทุกฝ่าย
BBC – ล่าสุดองค์การสหประชาชาติระบุว่ามีผู้อพยพชาวโรฮิงญาหนีภัยการสู้รบข้ามพรมแดนเข้าไปในบังกลาเทศถึงกว่า 290,000 คนแล้ว
แถลงการณ์ของอาร์ซาซึ่งเรียกร้องให้กองทัพรัฐบาลเมียนมาวางอาวุธเช่นกันระบุว่า “ในระหว่างที่หยุดยิงนี้ เราขอสนับสนุนอย่างจริงจังให้บรรดาผู้มอบความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าทำหน้าที่ของตนต่อเหยื่อในวิฤตการณ์ครั้งนี้ทุกคน โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังทางเชื้อชาติศาสนา”
ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าประกาศหยุดยิงนี้จะส่งผลต่อสถานการณ์ในรูปแบบใด เนื่องจากตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่ากองกำลังอาร์ซาจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของกองทัพรัฐบาลเมียนมาได้ ส่งผลให้มีบ้านเรือนนับพันหลังถูกเผาทำลาย และผู้คนถูกขับไล่ให้ข้ามพรมแดนไปยังบังกลาเทศ
ด้านองค์การสหประชาชาติระบุว่า บรรดาองค์กรให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมต้องการเงินอีกราว 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อใช้ในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพชาวโรฮิงญาในบังกลาเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ค่ายผู้อพยพในเมืองค็อซ์บาซาร์ซึ่งขณะนี้มีจำนวนผู้อพยพล้นเกินกว่าจะให้ความช่วยเหลือได้ทั่วถึง โดยขาดแคลนทั้งอาหารและน้ำ รวมทั้งบริการรักษาพยาบาลผู้ป่วย
องค์กรบรรเทาทุกข์ต่างระบุว่าจำนวนผู้อพยพมีมากเกินกว่าจะช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง
ส่วนองค์กรพิทักษ์สิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ออกมาเผยว่ากองทัพรัฐบาลเมียนมาได้วางกับระเบิดเอาไว้ตามแนวพรมแดนด้านที่ติดกับบังกลาเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อพยพชาวโรฮิงญากลับคืนถิ่นฐานของตนในเมียนมาอีก ซึ่งกรณีนี้รัฐบาลบังกลาเทศได้เรียกตัวทูตเมียนมาประจำกรุงธากาเข้าพบเพื่อประท้วงเรื่องดังกล่าวแล้ว ส่วนผู้นำมาเลเซียและรัฐบาลปากีสถานได้เรียกตัวทูตเมียนมาเข้าพบเช่นกัน เพื่อประท้วงการกระทำที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพเมียนมาต่อชาวโรฮิงญา
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แหล่งข่าวในรัฐบาลเมียนมาได้ปฏิเสธเรื่องการวางกับระเบิดตามแนวพรมแดน และว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายก็เป็นได้
สำนักข่าววิหคนิวส์