ข่าวประจำวัน » # “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ..!!กล่าวถึงการบริจาคร่างกายและดวงตา …ไขข้อข้องใจ ไปเกิดใหม่อวัยวะจะอยู่ครบหรือไม่ ?!

# “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ..!!กล่าวถึงการบริจาคร่างกายและดวงตา …ไขข้อข้องใจ ไปเกิดใหม่อวัยวะจะอยู่ครบหรือไม่ ?!

20 May 2017
531   0


หลาย ๆ ท่านอาจจะทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าการบริจาคร่างกายและดวงตา เป็นการสร้างบุญกุศลอย่างใหญ่หลวงแก่ตัวคนที่บริจาคเอง และยังเป็นการต่อชีวิตให้อีกหลาย ๆ ชีวิต ที่ได้รับประโยชน์จากการบริจาคอวัยวะของเราด้วยค่ะ หากแต่หลายท่านอาจจะยังสงสัยและเคลือบแคลงใจอยู่บ้าง ว่าเมื่อเราบริจาคร่างกายหรือดวงตาไปแล้ว พอเราได้เกิดมา เราจะมีอวัยวะครบถ้วนหรือไม่ ? เพราะก่อนตายเราได้บริจาคไปแล้วนั้น วันนี้เลยได้คัดลอกบางช่วงบางตอนจากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง) ที่ได้ให้คำกระจ่างในเรื่องนี้ไว้ มาฝากผู้อ่านกันค่ะ
ผู้ถาม : ถ้าเราจะไม่เกิดอีกแล้ว และเราอุทิศดวงตาให้สภากาชาด แต่ถ้าบางทีเราไม่ถึงซึ่งพระนิพพานและเราต้องมาเกิดอีก อยากทราบว่า ตาเราจะบอดหรือไม่ครับ ?
หลวงพ่อ : บอดแน่ ๆ เลย เสร็จ..ไม่มีตาดูน่ะซิ
ผู้ถาม : ก็นั่นนะซิครับ กลัวจังเลยว่าจะไม่มีตาดู
หลวงพ่อ : ต้องตอบว่า ตาจะแจ่มใสดีกว่าตาเดิม เพราะอานิสงส์อุทิศลูกตาเป็นทาน ไม่ใช่ตาบอดนะ
ผู้ถาม : ลูกเคยตั้งใจไว้ว่า การบริจาคดวงตาและร่างกายเมื่อหลังจากตายแล้ว จะได้ประโยชน์ หลวงพ่อว่าดีไหมคะ ?
หลวงพ่อ : บุญน้อยไปให้เมื่อตายแล้ว ต้องให้เมื่อเป็น
ผู้ถาม : ก็ตาบอดซิคะ
หลวงพ่อ : ใส่ตาใหม่ ใส่ตาแก้วมันสวยกว่าตาเก่า ตาใสแจ๋วแต่มองอะไรไม่เห็น อย่างพระพุทธเจ้าสมัยเมื่อเป็นพระเวสสันดรไงล่ะ เขามาขอของภายนอกก็คิดว่า ทำไมไม่ขอดวงหทัย…ทำไมไม่ขอดวงตา…ทำไมไม่ขอแขนซ้ายแขนขวา…ถ้าขอดวงตาเราจะควักให้ ขอแขนซ้ายจะตัดให้ ขอแขนขวาจะตัดให้ เป็นต้น แต่ว่าการตั้งใจแบบนั้นก็เป็นกุศลนะ กุศลย่อมเกิดตั้งแต่เริ่มคิด ตัดสินใจว่าจะให้ เวลาตายไปแล้วก็ได้บุญแน่ แต่สงสัยซิ…ไปเกิดใหม่ตาจะโบ๋ เพราะมีคนสงสัยหลายคนมาถาม
ผู้ถาม : แล้วจริง ๆ โบ๋ไหมครับ…?
หลวงพ่อ : ไม่โบ๋ เพราะไปเกิดใหม่ ไม่ได้เอาตาดวงเก่าไปด้วย กายเก่าไม่ได้ไป เกิดใหม่ก็อาศัยบุญใหม่ การเกิดนี่ต้องมีบุญนะ คนไม่มีบุญเลยเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ ต้องมีบุญช่วยให้เกิด แต่ว่าต้องสร้างกายใหม่ ไม่ใช่กายเก่า แต่ว่าตามหลักของการปฏิบัติท่านบอกว่า ถ้าคนเจริญสมาธิจิตอยู่ คือทรงสมาธิเวลาตาย ถ้าจิตออกทางตา ตาทิพย์ จิตออกทางหู หูทิพย์ จิตออกทางปาก ปากทิพย์ จิตออกทางจมูก จมูกทิพย์ ถ้าจิตออกมือ มือทิพย์ ออกทางหน้าท้อง ถ้าท้องทิพย์ละแย่เลย
ผู้ถาม : ทำไมหรือครับ ?
หลวงพ่อ : เลี้ยงไม่อิ่มนะซิ
ผู้ถาม : อ๋อ…(หัวเราะ)
หลวงพ่อ : คำว่า “ทิพย์” หมายความว่าเกิดประโยชน์แก่สายนั้น ตาดี อาจจะได้ทิพจักขุญาณ หรือว่าเป็นคนที่มีหูดีไวเป็นพิเศษ แก่เฒ่ามากแล้วคนอื่นเขาหูตึง เราก็ไม่ตึงไม่พร่า ปากดี พูดแล้วคนอื่นชอบฟัง เกิดประโยชน์จากปาก อย่างนี้เป็นต้น
ผู้ถาม : แล้วที่บอกว่ากายทิพย์ออกจากร่าง ความจริงออกทางไหนครับ ?
หลวงพ่อ : ที่เขาฝึกเอากายออกไปใช่ไหม ?
ผู้ถาม : ครับ
หลวงพ่อ : ไม่ต้องหาช่องละนั่นไปเลย เวลาออกแบบนั้น ก็เหมือนกับเข้านั่นแหละ เข้าไม่เลือกช่อง ออกก็ไม่เลือกช่อง เพราะเป็นนามธรรม อย่างกลางคืนเรานอนอยู่ห้องแคบ ๆ ถ้าผีมาหรือเทวดามาตั้งพัน เราก็เห็นได้ แต่ไม่มีห้องกั้น เพราะว่าสภาพเป็นทิพย์
ผู้ถาม : ทีนี้ก็มีคนคนหนึ่งได้ทำพินัยกรรมไว้ว่า ถ้าตายแล้ว ขออุทิศศพให้โรงพยาบาล ทีนี้ลูกหลานก็ไม่สบายใจ เพราะถ้าอุทิศให้โรงพยาบาลแล้ว กลัวพ่อจะไม่ไปผุดไปเกิดเพราะไม่ได้เผาศพ หลวงพ่อมีความเห็นว่าอย่างไรครับ ?
หลวงพ่อ : ความจริงถ้าฉันเป็นลูกเป็นหลานฉันจะดีใจมาก ไม่ต้องเปลืองเงินทำศพ มีผลเท่ากันนะ พอตายลงไปปั๊บ ไอ้จิตนี่มันก็ไปตามสภาพตามกฎของกรรมอยู่แล้ว มันไม่อยู่หรอก มันไม่มานั่งห่วงซากศพ ไอ้ที่ว่านั่นห่วงซากศพน่ะไม่จริง
ผู้ถาม : เวลาคนตายไปแล้วใหม่ ๆ กี่วันถึงจะรู้ว่าตายครับ ?
หลวงพ่อ : เอาตัวรู้หรือว่าใจรู้ ถามให้ถูก แต่ความจริงนะ ถ้าตายเดี๋ยวนั้นก็รู้เดี๋ยวนั้น ไม่ใช่กี่วัน ฉันเคยตายหลายวาระฉันรู้ ไม่ต้องไปถามชาวบ้านที่ไหนหรอก พอมันออกจากร่างปั๊บ ก็เห็นร่างกายเนื้อนอนอยู่แล้ว อารมณ์จิตนึกรังเกียจทันที ไม่ใช่พอใจ ไม่ใช่เสียดายนะ แต่รังเกียจไอ้ตัวนั้น ฉะนั้นไอ้เรื่องตายแล้วจะเผาหรือไม่เผา ไม่ต้องวิตกกังวล จิตใจเป็นไปตามสภาพของมันอยู่แล้ว ถ้าฉันเป็นลูกเป็นหลาน ฉันยุส่งเลย เอาไปให้เขาเถอะ ตายปุ๊บเราก็ยกไปโรงพยาบาล ไม่ต้องนิมนต์พระมาบังสกุลด้วย
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
ที่มา http://www.sabaiclub.com
#Wanwilai วันวิไล รักการดี Vihoknews Germany