นับถอยหลังเตรียมเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง หลังมีการคาดหมายทางการเมืองว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมที่จะยุบสภาฯภายในไม่กี่วันข้างหน้าต่อจากนี้
ในส่วนของ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” (รทสช.) พบความเคลื่อนไหวว่า กำลังเร่งคัดสรรขุนพล-ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งจากทุกภาค เพื่อส่งลงสนามการเลือกตั้งในระบบเขตทั่วประเทศเกือบครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
และสำหรับในพื้นที่ภาคเหนือที่ขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่และเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตอย่างเป็นทางการ แต่ความพร้อมมีเกินร้อย โดยการนำของแม่ทัพ “เสธหิ.-หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะดูแลพื้นที่ภาคเหนือ” ได้ให้สัมภาษณ์ถึงยุทธศาสตร์การหาเสียงในพื้นที่ภาคเหนือของพรรคไว้อย่างน่าสนใจ
โดย “หิมาลัย” เริ่มต้นกล่าวว่า ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ได้ดำเนินการหลายเรื่องเพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือรวมถึงหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เช่นเรื่องที่ดินทำกิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการหาเสียงของพรรครวมไทยสร้างชาติ
อย่างเรื่อง “สิทธิที่ทำกินที่อยู่ในเขตป่าสงวนฯ” ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ มีนโยบายอยู่แล้วในเรื่องแนวเขตที่ดินของรัฐ (ONE MAP) โดยจากการทำงานของรัฐบาลที่ขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการจัดสรรที่ทำกิน
ทำให้เราพบว่าที่ผ่านมามีการถือกฎหมายหลายฉบับเพราะหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง ต่างยึดกฎหมายของตัวเอง ทำให้การจัดสรรและแก้ปัญหาที่ดินต่างๆเป็นไปอย่างล่าช้า
สำหรับแนวคิดรักษาป่าของรวมไทยสร้างชาติ คือ “คนกับป่า อยู่ด้วยกัน” เพราะการรักษาป่าไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายราชการฝ่ายเดียว แต่เป็นหน้าที่ของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ด้วย ป่าหลายแห่งจะพบว่า ชาวบ้านในพื้นที่ช่วยกันดูแล เพียงแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องมีความเป็นกลางและเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ได้ไปสัมผัสชาวบ้านแล้วเขาต้องการ จึงได้สะท้อนออกมา
..พรรครวมไทยสร้างชาติมีแนวคิดว่าต้องมี “พ.ร.บ.คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชน” ขึ้นมา ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาส่วนรวมได้ จึงควรจะมีกฎหมายตรงนี้เพื่อคุ้มครองชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านในพื้นที่ภาคเหนือหรือชาวประมงที่ภาคใต้ ซึ่งการพัฒนาที่ดินต่างๆต้องหาจุดเหมาะสม หลังที่ผ่านมา ได้พัฒนาสาธารณูปโภคทางพื้นที่ป่าของภาคเหนือ ต่อไป ก็ต้องหาความเหมาะสมที่ลงตัว ทำให้ คนที่อยู่ในพื้นที่มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน
…นอกจากนี้ยังมีเรื่อง “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หรือที่ประชาชนเรียกบัตรลุงตู่ ที่จะมีการเพิ่มวงเงินเป็นเดือนละหนึ่งพันบาท ที่ยืนยันว่าทำได้แน่นอน ไม่ทำให้งบประมาณต่างๆได้รับผลกระทบ เป็นต้น
“นโยบายของพรรคคือให้ความจริงใจในการแก้ปัญหาทุกอย่าง เหมือนที่เคยบอกว่าสู้ทุกปัญหาพึ่งพาได้ทุกเรื่อง เรื่องอะไรดีมาแล้ว ที่ทำมาแล้ว ที่กำลังทำอยู่ ก็ต้องหาทางขับเคลื่อนต่อไป”
“หิมาลัย” ยังกล่าวถึงการตั้งเป้าเก้าอี้ ส.ส.ระบบเขตในพื้นที่ภาคเหนือของพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ต้องบอกก่อนว่าสำหรับบทบาทในพรรคนั้น ผมเป็นผู้ประสานงานพรรค ที่พยายามจะนำเสนอตัวผู้สมัครส.ส.ระบบเขต ให้พรรคพิจารณา ซึ่งพรรคก็มีคณะกรรมการบริหารพิจารณาอีกครั้ง เราตั้งใจทำงานให้พรรคเต็มที่ สนับสนุนนโยบายเต็มที่ ทำทุกเรื่องที่ทำได้
…ส่วนที่ถามกันมากว่า คาดว่าจะได้ส.ส.เขตภาคเหนือกี่นั่ง บอกได้ว่า มั่นใจว่าถ้าได้มาก็ฮือฮาแล้วกัน เพราะเราไปสัมผัสพื้นที่มาแล้ว ไม่ได้เป็นอย่างที่บางพรรคบางพวกพยายามสร้างภาพ เพราะพอลงไปพื้นที่จริงๆ พบว่า ประชาชนนิยมชมชอบ พล.อ.ประยุทธ์ มีเยอะมาก เพียงแต่เราต้องหาเขาให้เจอ หลายคนไม่แสดงออกในพื้นที่เพราะโดนกระแสกลบ แต่พอไปสัมผัสตัวจริงๆเขาจะมาบอกเรา และคนอย่างนี้เยอะมาก ส่วนจะได้ส.ส.เขตเท่าไหร่ยังไม่กล้าคอมเม้นท์ จะได้แค่ไหนอยู่ที่ประชาชนจะให้โอกาสเราแค่ไหน
“แต่เท่าที่ไปสัมผัสแล้วเอาเป็นว่า ใครที่เคยดูถูกพรรครวมไทยสร้างชาติทางเหนือเอาไว้ ผลการเลือกตั้งออกมาได้นั่งร้องให้บ้าง แต่เราจะไปพูดว่าได้เท่าไหร่ไม่ได้เพราะให้เกียรติประชาชน เคารพสิทธิ์ประชาชน แต่มั่นใจว่าส.ส.ที่เราตั้งเป้าไว้ได้ไม่ต่ำกว่าเป้าแน่นอน”
“หิมาลัย” กล่าวต่อไปว่า ผู้สมัครที่มากับเราเป็นนักสู้ทั้งนั้น เราแข่งกับตัวเอง ก้มหน้าก้มตาทำงานไป เดินเข้าหาประชาชน และเดินไปบอกเขาว่าเราจะทำอะไร วันนี้เดินไปหาเขายังไม่เข้าใจ วันหน้าก็ต้องไปใหม่ วันนี้เขายังไม่รักพรุ่งนี้ก็ต้องไปใหม่
ส่วนการคัดเลือกตัวผู้สมัครในระบบเขต ภาคเหนือนั้นบอกเลยว่าขณะนี้ผู้สมัครที่จะขอลงสมัครส.ส.เขตภาคเหนือมีจนล้น อย่าคิดว่าพรรครวมไทยสร้างชาติไม่มีคนสมัคร ตอนนี้ล้นมาก และแต่ละคนมีคุณภาพทั้งนั้น เราค่อนข้างที่จะหนักใจในการแจ้งแต่ละคนที่ศรัทธาพรรค แต่เรารับได้ไม่หมด แต่หลายคนแม้ไม่ได้ลงสมัครแต่ก็อยู่ช่วยกัน ซึ่งต้องขอบคุณทุกคนที่ให้เกียรติพรรคและให้ความสนใจ มีความเชื่อถือในพรรคมาสมัครมากมาย จนไม่มีเขตไหนว่าง
สำหรับพื้นที่ภาคเหนือที่คนมองว่า รวมไทยสร้างชาติจะสู้กับกระแสพรรคเพื่อไทย กระแสนายทักษิณ ชินวัตร และแพทองธาร ชินวัตร อย่างไรนั้น “หิมาลัย-ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติภาคเหนือ”ให้ความเห็นว่า ต้องบอกว่า สำหรับนายทักษิณก็มีสไตล์การบริหารงานของท่าน น.ส.แพทองธาร ก็มีสไตล์ของตนเองในการบริหารงานในความคิดต่างๆ เราก็ดูถูกใครไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่ดูถูกตัวเองด้วยเหมือนกัน
“ผมไม่รู้จักกระแสแลนด์สไลด์ ผมรู้จักว่าประชาชนเขาจะให้ใคร พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะฉะนั้นถ้ามีคนศรัทธาแม้แต่เพียง 1 คนเราก็ต้องต่อสู้ วันนี้ยังมีคนที่ศรัทธา พล.อ.ประยุทธ์อยู่ ยังมีคนที่ศรัทธาพรรครวมไทยสร้างชาติอยู่
เราไม่รู้ได้ว่าเราจะสู้แพ้หรือชนะ เพราะเป็นสิทธิ์ของประชาชนเราตอบไม่ได้ แต่ถามว่าเรากลัวแลนด์สไลด์ไหม เราไม่กลัว เพราะเราเป็นประชาธิปไตย การเลือกตั้งแล้วแพ้ อย่างน้อยก็มีคนศรัทธาเราเลือกเราอยู่ นั่นคือน้ำใจที่เขาให้ ถ้าเลือกตั้งแล้วศูนย์ไม่ได้แม้แต่คะแนนเดียวนั่นสิต้องเลิก แต่ถ้ายังมีคะแนนยังมีศรัทธาประชาชนอยู่เราต้องรักษาคนที่ศรัทธาและเดินไปข้างหน้า
เพราะฉะนั้นถามว่ากลัวแลนด์สไลด์ไหม ไม่กลัว แต่ไม่ได้ดูถูก พรรคของเราก็มีดีของเรา ถ้าท่านชอบทางนี้ท่านก็มา ถ้าคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความตั้งใจทำงาน คือคนที่มีบารมีพอที่จะดูแลความเรียบร้อยสงบสุขของประเทศชาติได้ท่านก็มาเลือกเรา อยู่ที่ประชาชนตัดสินใจ”
ส่วนการเปิดเวทีปราศรัย “เปิดประตูสู่ภาคเหนือ” พล.อ.ประยุทธ์ต้องไปแน่นอน ขณะนี้กำลังพิจารณากันภายในพรรคว่าจะไปจุดใดบ้าง ซึ่งจากการที่ภาคเหนือมีประชาชนตอบรับ พล.อ.ประยุทธ์ เยอะมาก
เมื่อไปลงพื้นที่พลเอกประยุทธ์จะได้รับความอบอุ่นสบายใจว่า จริงๆ แล้วชาวบ้านที่รักศรัทธาท่านยังมีอยู่เยอะ เราวางไว้ว่าสำหรับพื้นที่ภาคเหนือจะให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปหาเสียงหลังจากที่เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว คือหลังการยุบสภาฯ ที่จะได้เห็นว่าศรัทธาที่ประชาชนมีให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ เยอะมาก ซึ่งท่านทิ้งพวกเขาไม่ได้ และเขาก็ไม่ทิ้งท่านด้วย
“หิมาลัยหรือเสธหิ” ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการมองกันว่า รายชื่อว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต ภาคเหนือของพรรคไม่ค่อยมีบ้านใหญ่ แล้วจะสู้พรรคการเมืองอื่นได้หรือไม่ว่า สำหรับว่าที่ผู้สมัครส.ส.ระบบเขตของพรรค ก็มีทั้งอดีตผู้สมัครและอดีตส.ส. ส่วนกลุ่มบ้านใหญ่ต่างๆนั้นเรามองว่าในเรื่องของประชาธิปไตยอย่าไปห่วงเลยว่าจะบ้านใหญ่หรือไม่ ฟุตบอลลูกกลมๆยังพลิกได้ ประชาธิปไตยยิ่งกว่าฟุตบอลอีก
วันที่จะกาบัตรอะไรสะกิดใจเขานิดเดียวเขาเปลี่ยนเบอร์ได้ง่าย อำนาจอยู่ในมือประชาชนเราไปพูดไม่ได้หรอก เราไม่ต้องกลัวจะบ้านใหญ่บ้านเล็ก เราต้องกลัวประชาชนไม่รักอย่างเดียว เรากลัวอำนาจประชาชนมากกว่า กลัวปลายปากกาของประชาชนมากกว่าว่าจะกาให้ใคร เราไม่กล้ว และก็ไม่ไปละเมิดใคร เราทำงานแข่งกับตัวเองทำให้ดีที่สุดแล้วอยู่กับประชาชนตัดสินใจ
และสำหรับจุดแข็งของรวมไทยสร้างชาติที่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นนั้น คิดว่าจุดแข็งของเราคือยึดมั่นในสถาบันของชาติเป็นหลัก ยึดมั่นในเรื่องผลประโยชน์ของประชาชน ยึดมั่นเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต นั่นเป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้เห็น ยึดมั่นในเรื่องของการอำนวยความเป็นธรรมให้ประชาชน ความตั้งใจทำงาน
จะเห็นว่าหลายอย่างเราพยายามแก้ไขตามที่ประชาชนเรียกร้องหรือต้องการ และที่สำคัญยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิ่งนี้คือความชัดเจนของพรรครวมไทยสร้างชาติ
…จะบอกว่าเราเป็นพรรคอนุรักษนิยมก็ได้ แต่ไม่ใช่อนุรักษนิยมที่สุดโต่ง แต่เป็นหัวก้าวหน้า เรายอมรับความก้าวหน้าความเปลี่ยนแปลง ผมเคยพูดกับนักการเมืองใหม่ๆ ว่าถ้าบ้านมี 4 เสา วันหนึ่งข้างหน้าคุณจะถอนเสาบ้านออก คุณคิดว่าเสาที่มาค้ำยันแทนมันดีเท่าเสาเดิม แข็งแรงเท่าเสาเดิมหรือไม่ คุณถอดเสานี้ไปแล้วคุณมั่นใจได้หรือไม่ว่า บ้านจะไม่ล้มลงมา
“รวมไทยสร้างชาติคือพรรคที่รักษาบ้านให้คงอยู่ต่อไป เสาที่ค้ำจุนบ้านให้มั่นคงก็ต้องรักษาไว้ อาจจะมีปลวกกัดกร่อนบ้างก็ต้องไปแก้ไข ตรงไหนที่อาจจะผุพังบ้างก็ไปซ่อมแซม แต่ไม่ใช่เราไปเอาเสาบ้านออกไปเลย ถ้าถอนเสาบ้านออกไปแล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าบ้านจะเป็นตัวบ้านต่อไปได้ บ้านกับประเทศก็คงจะเหมือนๆกัน ต้องฝากไว้ให้คิด บางทีนโยบายพรรคอาจไม่หวือหวา พูดแล้วอาจไม่มัน แต่นี้คือสิ่งที่เรามุ่งมั่นมาก”