“อภิสิทธิ์” ยันไม่มีอดีต ส.ส. ลาออกเพิ่ม มีแค่ “สุเทพ-ธานี” เท่านั้น ย้ำแนวทางพรรคชชัดเจนหลังเลือกตั้งสนับสนุนหัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ
Inn – นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังแถลงนโยบายพรรคฯ ว่า ส่วนตัวทำตามเจตนารมณ์ จากการยืนยันสมาชิกพรรคควรจะทราบว่า แนวคิดเป็นอย่างไร ซึ่งในคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ระบุไว้ สำหรับแนวทางของพรรคฯในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่มีเรื่องของนายกรัฐมนตรีคนนอกนั้น หัวใจสำคัญต้องการให้บ้านเมืองเดินไปทางไหน สิ่งที่ส่วนตัวแถลงนโยบายไปว่า ประชาธิปัตย์ยุคใหม่ ต้องการนำพาบ้านเมืองไปทางไหน นั่นคือ สิ่งที่พรรคฯ ไปขอความสนับสนุนจากสมาชิกและประชาชน ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะต้องเคารพเจตนารมณ์ของประชาชน ซึ่งวันนี้ประชาธิปัตย์ต้องการจะเป็นหลักในการเดินหน้าทำงาน
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคของสมาชิกที่เป็น กปปส. ว่า ส่วนตัวยืนยันว่า นอกจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ ที่ลาออกไป และนายธานี เทือกสุบรรณ อดีตส.ส.สุราษฏ์ธานี ที่แสดงเจตนารมณ์ว่าจะเป็นผู้ไปจดแจ้งพรรคการเมืองใหม่ ก็ยังไม่มีอดีต ส.ส.คนอื่น มาบอกว่าจะไม่มาร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ และเท่าที่สังเกตวันนี้หลายคนก็มายืนยันแล้ว พร้อมยืนยันว่า สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังสนับสนุนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนใครที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น ให้ไปทางเลือกอื่น ไม่ต้องมาที่นี่ เพราะมีพรรคอื่นรองรับเป็นจำนวนมาก ถ้าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องสนับสนุนหัวหน้าพรรค ไม่ว่าหัวหน้าพรรคจะเป็นใครก็ตาม ซึ่งความเป็นไปได้ที่พรรคประชาธิปัตย์จะสนับสนุนทหารเป็นรัฐบาลนั้น ต้องไปดูว่า ทหารเข้ามาได้อย่างไร และมีกี่เสียง
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีมีการตั้งข้อสังเกตุเรื่องจำนวนสมาชิกพรรค ว่า สมาชิกที่มีอยู่กว่า 2.5 ล้านคน จะเหลือเพียงแค่แสนคน จะเป็นไปได้หรือไม่นั้น ว่า จะพยายามให้ได้มากที่สุด ซึ่งทุกคนทราบดีว่า การออกกฎหมายเช่นนี้ ระยะเวลาการให้ความชัดเจนในบางเรื่อง ทุกคนทราบดีว่ามีอุปสรรคอะไร หากวันหนึ่งบ้านเมืองถึงวิกฤติและจำเป็นต้องให้ทหารอยู่ในอำนาจ
ต่อจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องบอกว่าการเดินหน้าที่จะไม่ให้เกิดความขัดแย้ง คือ การที่ทุกคนต้องรักษาคำพูดเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ถ้ามีการทำอะไรที่ประชาชนมองว่า มีการบิดพริ้วหรือไม่เป็นไปตามสิ่งที่บอกกับประชาชน ก็จะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้ง จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า หัวหน้า คสช. มีอำนาจในการแก้ปัญหานี้ได้อยู่แล้ว แต่จะตีความกี่วัน หัวหน้า คสช. ก็ไปร่นระยะเวลาก่อนการบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น ทุกอย่างก็เป็นไปตามเดิม ส่วนจะเป็นรัฐบาล หรือ สนช. ที่จะเป็นผู้ส่งตีความกฎหมายนั้น ทุกอย่าง คสช. จะเป็นผู้กำหนด ซึ่ง คสช. เคยบอกกับประชาชนไทยและชาวโลกไว้อย่างไร ก็ควรเดินไปตามนั้น ส่วนจะขอความร่วมมือไปทางศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยร่างกฎหมายลูก ส.ส. เร็วขึ้นเพื่อไม่ให้กระทบโรดแมปคิดว่าทำได้หรือไม่นั้น ต้องดูตามความเป็นจริงว่า ใช้เวลาเท่าไหร่ อย่างไร เพราะมีทางแก้ไขอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเองก็คงไม่ต้องการให้ล่าช้าอยู่แล้ว ทั้งหมดต้องเป็นไปตามกระบวนการ และเรื่องที่ส่งตีความนั้นอาจจะไม่เป็นการซับซ้อนก็ได้
ส่วนจะเป็นการโยนภาระไปที่ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่หากศาลพิจารณาล่าช้า ส่วนตัวยืนยันว่า คนที่รับผิดชอบ สุดท้ายแล้วคือ หัวหน้า คสช.เพราะไม่ว่าศาลจะใช้เวลาเท่าใด หัวหน้าคสช.ต้องสามารถแก้ไขสถานการณ์ให้เป็นไปตามโรดแมปได้อยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น
ส่วนกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาคำสั่ง คสช. ว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจและควรที่จะส่งเรื่องนี้ไปที่หน่วยงานที่สามารถแก้ปัญหาได้ และเห็นว่าควรสั่งทั้ง คสช.และ สนช. ขณะเดียวกันจะส่งเรื่องหรือไม่ส่งนั้น ส่วนตัว มองว่า คสช. และ สนช. ทราบแล้วว่ามติของผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นอย่างไร ดังนั้นควรเคารพสิทธิของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ และแก้ไขเรื่องนี้ไม่ให้เกิดการเสียเวลาในศาล
สำนักข่าววิหคนิวส์