วันที่ 3 ธ.ค.65 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจ โพสต์เพจเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุข้อความว่า ..
การขายที่ดินต่างชาติ คำตอบจากคนไทยคนหนึ่งถึงเจ้าสัวซีพี
เรียน “เจ้าสัวซีพี” ที่เคารพ
ผมฟังสิ่งที่เจ้าสัวพูดถึงชาวต่างชาติซื้อที่ดินดีกว่าเข้ามาท่องเที่ยวแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ขายที่ดินแล้วเขาเอากลับไปด้วยไม่ได้
บอกว่า “คนไทยหวังดีกับประเทศ แต่กลับทำให้ประเทศเสียหาย”
ผมขออนุญาตตอบแทนคนไทยอย่างผมว่า
“หัวสมองอันปราดเปรื่องของเจ้าสัวคิดแต่เรื่องเงินทุน การผูกขาดเท่านั้น”
การมาท่องเที่ยวชั่วคราว เป็นการได้น้อยจริง แต่ได้ยาวไปตลอดชาติ เป็นการได้ทั้งระบบ ตั้งแต่ค่าที่พัก ค่าจับจ่ายใช้สอย ค่ากิน ค่าเดินทาง และอื่นๆ อีกมากครบวงจร มีเงินกระจายไปอย่างทั่วถึง เพราะการท่องเที่ยว มีรายได้มหาศาลไปจนถึง คนขายของข้างถนน
นักท่องเที่ยวไม่ได้ถูกบังคับให้กิน ให้ซื้อ ให้ผูกขาดเหมือนที่เจ้าสัวทำทุกวันนี้ เพราะมาแค่ชั่วคราว มาแล้วไป
แต่หากที่ดินถูกผูกขาดจากทุนต่างชาติไปด้วย ถือว่าเป็นระบบผูกขาดครบวงจร เป็นการกินทั้ง “ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์” ตามปัจจัยสี่ “ที่อยู่ อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม” ทั้งสี่ถูกทุนไทยครอบงำไปหมด เหลือสิ่งสุดท้าย และสำคัญสุด คือ ที่ดินนั่นเอง
ส่วน 105 ล้านไร่ พื้นที่เพาะปลูก ขายไม่ได้หมดหรอกครับท่านเจ้าสัว แต่ที่หมดคือ “ที่ในทำเลดีๆ” สิไม่ว่า
ทุนต่างชาติที่แข็งแรงกว่าอย่างจีน ไม่ไปซื้อที่ห่วยๆ ที่ไม่มีค่าหรอครับ
หากเจ้าสัวจะซื้อที่ ทำไมไม่ไปซื้อแถวอีสานสัก 10,000 ไร่ มาพัฒนาสร้างวัด สร้างโรงเรียนให้ชุมชนล่ะครับ
ท่านคงไม่ทำ ก็เหมือนต่างชาติที่มีเงินทุนมากกว่าย่อมคัดเอา “ปลาตัวใหญ่” แล้วเหลือเศษก้างให้คนไทยไว้
พ่อค้า นายทุน คนมีเงิน คิดเหมือนกัน คือ “กำไร” แต่ท่านคิดได้มากกว่าอีก คือ “คิดกำไรแล้ว ต้องผูกขาดด้วย” แล้วใครจะทำได้ หากไม่ใช่ระดับเจ้าสัวอย่างท่าน
พ่อค้าธรรมดาทำไม่ได้หรอกครับ ทั้งต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ ท่านเอาหมด แล้วคนไทยก็ปฎิเสธไม่ซื้อไม่ได้ เพราะ “ทุนผูกขาด” ยังไงครับ
เรื่องกำไรนั้นเป็นปกติของพ่อค้าทุกคน แต่จะกำไรก้าวกระโดด ต้องคิด “กินรวบผูกขาด” ไม่ให้พ่อค้าคนอื่นทำได้ มีท่านทำได้เท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะ “ท่านมีเงินทุนมหาศาล” อันมาจากการกีดกันพ่อค้าคนอื่นไม่ให้มาแข่งขันในตลาด
เช่นเดียวกับพ่อค้าที่ดิน ไอ้ที่ดินมันไปไหนไม่ได้ แต่เงินที่ได้จากการขายที่ดินนี่สิ มันไปไหนก็ได้บนโลกใบนี้
หากต่างชาติซื้อที่ในทำเลที่ดี แล้วขายในราคาแพงเพื่อทำกำไร และปั่นราคาสูงจนคนไทยซื้อไม่ไหว คนที่ซื้อได้คือต่างชาติที่มีเงินเท่านั้น
เงินที่ขายได้ เขาก็สามารถขนกลับไปประเทศเขาได้อยู่ดี
จากนั้นคนไทยจะต้องไปซื้อที่ไกลออกไปไกลออกไป เพราะที่ในทำเลดีๆ เหมือน “เนื้อสเต็ก” ที่ถูกต่างชาติเฉือนเอาส่วนเนื้อที่นุ่ม หนึบ ติดมัน เอาไปกิน
ส่วนกระดูก โยนให้คนไทยเอาไปแทะ
อย่าไปยกตัวอย่างประเทศ “ดูไบ” เลยท่าน เพราะระบบความแข็งแกร่งต่างกัน ที่ดินดูไบแพงมาก คนดูไบเองรวย คนต่างชาติกลับเป็นคนที่มีทุนน้อยกว่า
คือเราเห็น “ต่างชาติ” เป็นเศรษฐี แต่ดูไบเห็นต่างชาติเป็นคนจนกว่าเขา จะเหมือนกันยังไง เอาตัวอย่างที่เป็นความจริงกลับด้านมาเทียบมันไหวหรือ?
ลองส่องกระจกดูตัวท่านเถอะ ท่านลองถามคนขับรถท่านดูว่า “ทำไมไม่ซื้อที่ดินซื้อบ้านแบบท่านล่ะ แล้วคนขับรถ จะมีเงินไปซื้อได้แบบท่านไหมครับ?”
นอกจากนั้นท่านยังพร่ำว่า ต่างชาติมาซื้อบ้าน สร้างงาน เช่น จ้างคนไทยมาดูแล เป็นคนใช้เฝ้าบ้าน
นี่ไง! ถึงบอกว่าท่านคิดได้แค่นี้ คนใช้เฝ้าบ้าน มันจะได้เงินสักกี่มากน้อย?
แค่ 10,000-20,000 บาท โถ มันก็เหมือนการสร้างงานของแม็คโคร โลตัส เซเว่น คนรวยคือท่าน
ส่วนขยายงาน คือ แคชเชียร์ คนยกสินค้า คนขับรถ
มันสร้างงานให้คนแค่มีกินไปวันๆ หมดไปกับค่าเดินทาง ค่ากิน ไม่เหลือเก็บออม แต่ที่รวยแล้วรวยเล่า คือ เจ้าสัว หรือว่าไม่จริงก็บอกได้
แล้วดูต่างชาติอย่าง “จีนเทา” มาซื้อบ้านกันยกหมู่บ้าน จัดปาร์ตี้ อยู่กันแบบไม่เกรงใจใคร เพราะเป็นเศรษฐี รบกวนเพื่อนบ้าน โดยไม่มีใครกล้าห้าม เพราะความรวย
อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก เมื่อทำขนาดระดับหมู่บ้านกว้านซื้อได้ ต่อไปก็กว้านซื้อระดับทั้งถนน ทั้งตำบลได้
แม้แต่อเมริกาเองยังเจอ “ไชน่าทาวน์” ขนาดเขามีระบบกฎหมายที่แข็งแกร่ง ยังมีแก๊ง “มังกรจีน” ที่ต้องปราบปรามจนถึงขนาดต้องตั้งตำรวจปราบจีนเทาดำ
แล้วหากเจอ ยิ่งกว่าตู้ห่าว ที่คนเดียวล่อที่ดินไป 1,000 ไร่ ในทำเลอย่างภูเก็ต สาทร ได้
มีต่างชาติอย่างตู้ห่าวสัก 100 คน ก็ทำได้ 100,000 ไร่แล้ว
อย่าลืมนะครับ คนจีนมีประชากร 1,400 ล้านคน เอาแค่คนรวย 10% ก็ 140 ล้านคนแล้ว เอาแค่ 5 % ก็ยัง 70 ล้านคน เท่าประชากรไทยทั้งประเทศ นี่เฉพาะคนรวยของคนจีน
หากจีนมาซื้อยกจังหวัด ประชากรจังหวัดหนึ่งของไทยแค่ 1 ล้านคน ทุนจีนมาซื้อสบายมากครับ
ต่อไป อาจมีเปลี่ยนชื่อจังหวัดไทยเป็น “จีนนคร” และที่สำคัญเราไม่เคยแยกแยะ
แน่นอน มีจีนที่ดีๆ มากมาย ท่านก็มีเชื้อจีน บรรพบุรุษเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเล มาตั้งตัวที่ไทย แต่ใครจะตรวจสอบจีนได้ หากมี “จีนเทา” มาสัก 100,000 คน จะทำความปั่นป่วนมากแค่ไหน?
ท่านต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจระดับ “มหภาค”
ความหมายคือ “ภาพใหญ่”
ไม่ใช่มองแต่ “เงิน“ เป็นตัวตั้งเท่านั้น
เมืองไทยยังไม่พร้อมหรอกครับท่านเจ้าสัว กฎหมายอ่อนแอ เจ้าหน้าที่รัฐเห็นแก่เงิน เอาแค่ ตอนนี้ยังไม่ได้ให้ต่างชาติซื้อที่ดิน ก็มีวิธีการซื้อ อย่างที่จีนซื้อยกหมู่บ้าน ยกชั้นคอนโด ด้วยการตั้งบริษัทเช่าคนไทยเป็น “นอมินี หรือตัวแทน” ถือหุ้นใหญ่ แล้วโอนลอยหุ้นกลับ
ไล่ซื้อกันแทบหมดหมู่บ้าน คนขายดีใจขายได้หมด แต่เคยสนใจหลังจากนี้ไหม เขาอยู่ร่วมกันแบบคนไทยได้ไง การเอาเงินสดมาก็ผิด เพราะไม่รู้ต้นตอว่าเป็นเงินอะไร
อาจจะขายยามา เอามาจากการพนันออนไลน์ แล้วคนไทยที่ทำมาหากินสุจริตจะเอาทุนไปสู้ได้ไง?
นี่เป็นระบบการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม จะเป็น “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ตามสไตล์เจ้าสัว ที่มักชอบ
กระทำ คือ คิดแต่เรื่องเงิน ไม่ได้คิดถึงความมั่นคงของสังคม
ท่านค้าขายจนร่ำรวยมากมายมหาศาลถึงทุกวันนี้ ท่านเคยเอาชนะด้วยการใช้ทุนที่มีมากกว่า กันคู่แข่งออกจากตลาดไหมครับ!?
นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น หากปล่อยให้ต่างชาติเข้ามา หนักกว่าที่ว่า คือ คนไทยจะกลายเป็นคนต่างด้าว เป็นตัวประหลาด ในแผ่นดินพ่อแผ่นดินแม่เสียเองครับ
แต่อย่างว่า คนอย่างเจ้าสัวซีพี บริษัทของท่านที่อ้างว่าเป็นบริษัทของคนไทย
มันไม่ใช่หรอกครับ บริษัทของท่านร่วมทุนกับต่างชาติ จนเป็น “บริษัทข้ามชาติ” ไปแล้ว
แต่นั่นมันแค่ “หุ้น” นะครับ ไม่ใช่ “ที่ดิน”
นี่ท่านจะเอาที่ดินไปขายด้วยหรือ?
แล้วต่อไปจะขายอะไรอีกครับ?
ขอบคุณ เพจเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์