ข่าวประจำวัน » เจ๊ง1700แห่ง ! โรงงานประกาศปิดตัว ตกงานกว่า 4.6 หมื่นคน ยุครัฐบาลเศรษฐา

เจ๊ง1700แห่ง ! โรงงานประกาศปิดตัว ตกงานกว่า 4.6 หมื่นคน ยุครัฐบาลเศรษฐา

10 June 2024
19   0

โรงงานในไทยปิดตัวแล้ว 1,700 แห่ง เปิดใหม่ลดเหลือแค่เดือนละ 50 จับตา 5 ธุรกิจเสี่ยง

ข่าวการปิดตัวโรงงานการผลิตของ ซูบารุ และ ซูซูกิล่าสุดนั้น สั่นสะเทือนวงการรถยนต์ไม่น้อย ทำให้ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ฉะเชิงเทรา ออกมาจับตาแรงงานในพื้นที่ ซึ่งกำลังจะมีกลุ่มแรงงาน ที่เข้าข่ายเปราะบาง และมีโอกาสเสี่ยงที่อาจถูกเลิกจ้างได้ในอนาคต ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมออโตโมทีฟ ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ที่มีมากกว่า 39,321 คน จาก 137 สถานประกอบการ

เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน มีการเติบโตลดลง และหยุดชะงัก

แต่ไม่เพียงอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปเท่านั้น ที่กำลังสั่นคลอน

KKP Research โดย กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้เปิดเผยรายงาน “โรงงานไทยที่กำลังปิดตัวบอกอะไรเรา?” ไว้อย่างน่าสนใจ

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงที่เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักของเศรษฐกิจไทย คือการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่วัดจากดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ได้มาจากการสำรวจผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย เผยแพร่โดย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมมีการหดตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2022 จนถึงเดือนมีนาคม 2024 หรือต่อเนื่องกันกว่า 1 ปี 3 เดือน ซึ่งนับเป็นการโตติดลบติดต่อกันที่ยาวนานมากที่สุดครั้งหนึ่ง แม้ว่าวัฏจักรการค้าโลกจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปลายปี 2023 แล้วก็ตาม

สัญญาณถัดมาที่น่ากังวลกว่านั้น คือ ข้อมูลการปิดโรงงานในภาคอุตสาหกรรม ที่เร่งตัวขึ้นชัดเจน ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2023 โดยค่าเฉลี่ยเปิดโรงงานของไทย อยู่ที่ 57 โรงงานต่อเดือน ในปี 2021 และ 83 โรงงาน ต่อเดือนในช่วงครึ่งหลัง ของปี 2023 ส่งผลให้หากนับรวมตั้งแต่ต้นปี 2023 มาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 มีโรงงานปิดตัวลงไปแล้วกว่า 1,700 แห่ง กระทบการจ้างงานกว่า 42,000 ตำแหน่ง

ไม่ใช่แค่โรงงานปิด แต่โรงงานเปิดใหม่ ก็ลดลงเช่นกัน

การปิดตัวของโรงงานเพียงอย่างเดียวอาจไม่สะท้อนภาพทั้งหมด แต่ตัวเลขการเปิดตัวโรงงานใหม่ที่ลดลงกว่าในอดีตยังย้ำให้เห็นถึงสถานการณ์ในภาคอุตสาหกรรมไทยที่ไม่ดีนัก เพราะการเปิดโรงงานใหม่มีทิศทางที่ชะลอตัวลงเช่นกัน จึงทำให้ยอดการเปิดโรงงานสุทธิ (จำนวนโรงงานเปิดหักลบด้วยโรงงานปิด) ในภาพรวมชะลอตัวลงอย่างมากจากค่าเฉลี่ยที่เป็นบวกสุทธิประมาณ 150 โรงงานต่อเดือน ลดลงเหลือเพียง 50 โรงงานต่อเดือน

การผลิตอุตสาหกรรมหดตัว กดดันโรงงานปิดตัว

สถานการณ์เปิดและปิดตัวของโรงงานอุตสาหกรรมยังมีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละกลุ่ม สอดคล้องกับการเติบโตของดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีความแตกต่างกันโดยอุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวโรงงานเร่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นกลุ่มเดียวกันกับอุตสาหกรรมที่ดัชนีการผลิตมีการหดตัวลง

ซึ่งสะท้อนว่าการพิจารณาภาคการผลิตในภาพรวมอาจไม่สะท้อนสถานการณ์ของบางกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่กว่าค่าเฉลี่ย โดยอุตสาหกรรมที่มีทิศทางน่ากังวลเนื่องจากมีการหดตัวของการผลิตและโรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้นมาก คือกลุ่มการผลิตเครื่องหนัง การผลิตยาง อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมไม้ และการผลิตเครื่องจักร

โรงงานขนาดใหญ่ปิดตัว โรงงานขนาดเล็กเปิดแทน

ในมิติของขนาดและพื้นที่ของโรงงานการปิดตัวของโรงงานอุตสาหกรรมในช่วงที่ผ่านมาพบว่ากระจุกตัวอยู่ในกลุ่มโรงงานขนาดใหญ่เป็นหลัก ในขณะที่โรงงานเปิดใหม่ส่วนใหญ่ที่เป็นโรงงานขนาดเล็ก สะท้อนว่าปัญหาการผลิตที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเฉพาะของกิจการเองเนื่องจากโรงงานขนาดเล็กมีแนวโน้มที่จะเปราะบางกว่าโรงงานขนาดใหญ่ จากสถานะทางการเงินที่มีแนวโน้มอ่อนแอกว่าบริษัทใหญ่ การปิดตัวที่เกิดขึ้น

จากโรงงานขนาดใหญ่เป็นหลักเป็นภาพสะท้อนว่าปัญหาการเปิดตัวโรงงานเกิดจากปัจจัยเชิงโครงสร้างในภาพใหญ่ที่กระทบกับอุตสาหกรรมทั้งอุตสาหกรรม

หนี้เสียในภาคอุตสาหกรรมกำลังเพิ่มขึ้น

ข้อมูลอีกหนึ่งชุด ที่ตอกย้ำความน่ากังวลของสถานการณ์ในภาคอุตสาหกรรม คือ การเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในภาคการผลิตที่มีสัญญาณเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน และสะท้อนปัญหาที่รุนแรงในภาคอุตสาหกรรมไทย มากกว่าเป็นการชะลอตัวชั่วคราวซึ่งนำไปสู่ความจำเป็นต้องปิดโรงงานและกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ KKP Research พบความสัมพันธ์ระหว่างอุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวของ โรงงานสูงกับอุตสาหกรรมที่่หนี้เสียปรับตัวสูงขึ้น โดยโรงงานกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวมากกว่า มีแนวโน้มที่การเพิ่มขึ้นของหนี้เสียสูงกว่าด้วย

ดัชนีเศรษฐกิจแบบเดิมอาจจับชีพจร ภาคอุตสาหกรรมไทยไม่ได้ทั้งหมด

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอยู่ การติดตามแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมไทย จำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงสาเหตุและที่มาที่ไป ที่ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงไป โดยปัญหาการหดตัวของหลายหมวดการผลิตในสินค้าไทยไม่ได้เกิดจากเฉพาะปัจจัยชั่วคราวด้านอุปสงค์ หรือตามวัฏจักรเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย ทำให้แม้ว่าในอดีตการ ผลิตของไทยและโลกจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่สอดคล้องกันมาโดยตลอด

แต่ในช่วงที่ผ่านมาจะสังเกตเห็นว่าการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทย เริ่มมีทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับการผลิตของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ในภูมิภาคและการผลิตของโลก ภาวะการค้าโลกที่ฟื้นตัวในระยะต่อไป จึงไม่ได้หมายความว่าภาคการผลิตไทยจะฟื้นตัวได้ดีเสมอไป โดย KKP Research แบ่งหมวดสินค้าในภาคการผลิตไทยเป็น 3 กลุ่ม คือ

(1) การผลิตที่ยังเคลื่อนไหวตามวัฏจักรปกติเป็นกลุ่มสินค้าที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นได้ หากอุปสงค์กลับมาเติบโตขึ้น ซึ่งคิดเป็นประมาณ 47% ของมูลค่าการผลิตทั้งหมด

(2) การผลิตที่ปรับตัวลดลงตามสินค้าคงคลังที่สูง กลุ่มอุตสาหกรรมที่ในช่วงที่ผ่านมา มีระดับสินค้าคงคลังที่สูงกว่าปกติมาก และอาจกลับมาปรับตัวดีขึ้นได้บ้างเมื่อสินค้าคงคลังเริ่มปรับตัวลดลง

(3) การผลิตที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น การผลิต Hard Disk Drive ที่ถูกทดแทนด้วย Solid State Drive ซึ่งส่งผลกระทบให้การผลิต HDD หดตัวต่อเนื่องมานาน หรือการผลิตที่ถูกทดแทนด้วยการแข่งขันจากสินค้าจีน KKP ประเมินว่า สินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นกว่า 35% ของมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตทั้งหมด

ภาคอุตสาหกรรมไทย ไปทางไหนต่อท่ามกลางความท้าทายที่เพิ่มขึ้น

ข้อมูลการเปิด-ปิดโรงงานของอุตสาหกรรมไทยในมุมมองของ KKP Research นับ เป็นภาพสะท้อนและผลลัพธ์ของการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมที่พึ่งพามูลค่าเพิ่มจากภาคอุตสาหกรรมกว่า 35% ของมูลค่าเศรษฐกิจ โดยตั้งแต่หลังช่วงโควิดมากลับกลายเป็นภาคบริการที่ขยายตัวได้ดีในขณะที่อุตสาหกรรมหดตัวลงต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่า ข้อมูลเดือนล่าสุดของการผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยกลับมาเป็นบวกมากกว่า 1 ปี และหลายฝ่ายยังหวังว่าจากภาวะเศรษฐกิจ และการค้าโลกที่ปรับดีขึ้นจะกลับมาช่วย ภาคอุตสาหกรรมไทยกลับมาขยายตัวได้อย่างไรก็ตาม KKP Research กลับมีความกังวลเพิ่มขึ้นอย่างมากต่อสถานการณ์อุตสาหกรรมไทยในระยะยาว ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

(1) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในบางกลุ่มสินค้าหลัก เช่น การเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายใน เป็นรถยนต์ EV โดยในช่วงที่ผ่านมามีการส่งออกรถยนต์ EV ราคาถูก จากจีนมายังไทย และ ส่งผลกระทบอย่างมาก ต่อทั้งยอดขายและราคารถยนต์ ICE ในไทย หรือ การเปลี่ยนจากการใช้ HDD เป็น SSD ซึ่งจะรุนแรงมากขึ้นต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อราคา EV และ SSD มีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องทำให้เข้ามาทดแทนเทคโนโลยีเก่าได้เร็วและ กว้างขึ้น

(2) การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าจีน โดยในปัจจุบันไทยขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่เพียงแต่เฉพาะสินค้าในกลุ่มยานยนต์ที่เข้ามายังไทย แต่ไทยมีการนำเข้าจากจีนในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายกลุ่มสินค้า เมื่อเทียบกับการนำเข้าทั้งหมด รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีต้นทุนต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในไทย

(3) มาตรการกีดกันการค้าระหว่างประเทศ ที่มีแนวโน้มทวีความเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งในกรณีที่ทรัมป์ชนะเลือการตั้ง มีแนวโน้มที่จะมีมาตรการกีดกันทางการค้าจากจีนและโลกเพิ่มเติม ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงทำให้การค้าโลกในภาพรวมชะลอตัวลง และมีโอกาสที่สินค้าจะทะลักมายัง ASEAN ร วมถึงไทยเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นการระบายสินค้าของจีนไปยังตลาดส่งออกอื่น

ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นและเริ่มลุกลามมาสู่อุตสาหกรรมที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย ที่เห็นได้ชัด คือ อุตสาหกรรมยานยนต์โดยเริ่มมีค่ายรถยนต์อย่าง Suzuki ยุติการผลิตในประเทศไทยตามยอดขายที่ต่ำลงเหมือนกับที่ KKP Research เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ในช่วงหลังจากนี้ KKP Research ประเมินว่าการเร่งดำเนินนโยบาย เพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมและปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่ยังจำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการหาเครื่องยนต์ใหม่ทดแทนเครื่องยนต์เดิมของเศรษฐกิจที่หายไป มิเช่นนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพการเติบโตต่ำลงไปเรื่อย ๆ