เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ต่างประเทศได้นำเสนอเรื่องราวของชาวเน็ตท่านหนึ่ง โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า.. “โจ” เป็นเด็กบ้านนอกที่มาทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวอยู่ในโรงแรมในเมือง วันนี้แขกออกจากร้านไปหมดแล้ว โจกำลังจัดการกับอาหารที่เหลือในครัว เขาเห็นหญิงชราคนหนึ่งมาด้อมๆมองๆ มาขออาหารกิน แกบอกว่าแกไม่ได้กินอะไรมา1 วันเต็มๆ แล้ว
โจเป็นเด็กใจดี เห็นข้าวที่เหลือจะทิ้งก็สู้ให้หญิงชรากินดีกว่า ยายแก่ก็เลยเอ่ยปากขอบใจเขาไม่หยุด แล้วก็ยื่นชามขอข้าวของแกให้โจ เขาตักใส่ให้จนเต็ม แล้วก็เอาถุงพลาสติกจะใส่หมั่นโถวให้แกเอาไปกินด้วย แต่เป็นตายยังไงหญิงชราก็ไม่ยอมรับ แกบอกว่าแค่ข้าวที่เหลือก็พอแล้ว
ตอนที่หญิงชราจะเดินจากไป ผู้จัดการใหญ่ก็เข้ามาพอดี แล้วก็เอาข้าวในชามของยายแก่ไปเทใส่ถังขยะ เขายอมเททิ้งแต่ไม่ยอมให้คนอื่นเอาไปกิน แถมยังด่าว่าโจ : โรงแรมทำธุรกิจเพื่อหาเงิน ไม่ใช่เพื่อเอาไปแจกให้ขอทาน
(เป็นเพียงรูปประกอบเท่านั้น)
โจพูดตอบไปด้วยอารมณ์: ก็แค่ข้าวเหลือๆ 1 ชาม ทิ้งไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรนี่ครับ อีกอย่างยายแกก็ไม่ได้มาทุกวัน ก็แค่วันนี้ผ่านมาแค่นั้น งั้นข้าวที่เหลือนี่คิดเป็นเงินเท่าไหร่ ผมจ่ายเอง ผู้จัดการด่าเสียงดัง แล้วโยนเงิน 5,000 ลงพื้น : แกยังกล้ามาเถียงชั้นเรอะ รีบๆเก็บข้าวของของแกออกไปจากร้านเลย แกโดนไล่ออกแล้ว นี่เงินเดือนเดือนนี้
โจเก็บเงินขึ้นมา แล้วหยิบชามข้าวของหญิงชรา ไปตักข้าวสวยใหม่มาหนึ่งชาม ราดด้วยกับข้าวสำหรับพนักงาน หยิบเงินออกมา 500 ก่อนจะโยนไปข้างหน้าผู้จัดการ : คนต่ำๆก็จะมองแต่อะไรต่ำๆ ชามนี้ผมจ่ายเอง
หญิงชราไม่ยอมขยับ โจก็เลยบอกว่า : ยายจ๊ะ รีบๆกินเถอะ เดี๋ยวเย็นหมด ผมยังมีมือมีเท้า ไปทำงานที่ไหนก็ได้
โจมาเมืองนี้เพื่อทำงานที่นี่ได้หกเดือนกว่าแล้ว พ่อแม่เขาก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนน้องสาวกำลังเรียนหนังสือ ทางบ้านมีความต้องการใช้เงิน โจเร่ร่อนอยู่ข้างถนน ด้วยเงินไม่กี่พันในกระเป๋า เขาเสียดายเงินไม่กล้าเอาไปเช่าโรงแรมนอน ตกกลางคืนอากาศเย็นๆก็เข้าไปหลบนอนในโถงโรงพยาบาล ทำอย่างนี้มา 2 คืนแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงปลายปี แต่โจไม่มีแผนจะกลับบ้าน เหตุผลหนึ่งก็เพราะเขาต้องการประหยัดเงิน อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะต้องการหางาน เก็บเงินให้ได้สักก้อน
(เป็นเพียงรูปประกอบเท่านั้น)
วันที่ 3 อยู่ดีๆมือถือเขาก็ดังขึ้น คนที่โทรมาคือประธานโรงแรมที่เขาเคยทำงาน บอกให้เขาบอกว่าอยู่ตรงไหน 10 นาทีต่อมาประธานใหญ่ก็ขับรถหรูมารับโจไปที่โรงแรม แล้วจ้างเขาเป็นเชฟใหญ่ด้วยเงินเดือน 1 แสน
โจรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป ไม่กล้าเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง ที่แท้ หลายวันก่อน ตอนที่โจยังเป็นผู้ช่วยพ่อครัว อยู่ดีๆเชฟใหญ่ก็ปวดท้องจนแม้แต่ยืนก็แทบจะไม่ไหว แต่ลูกค้าก็ยังสั่งอาหารเข้ามาไม่ขาดสาย เชฟคนอื่นก็กำลังยุ่ง โจเลยใช้ความกล้า ทำอาหารออกไปหลายเมนู โจเคยเรียนในโรงเรียนเทคนิคมา 2 ปี บวกกับเวลา 6 เดือนที่เข้ามาเรียนรู้สังเกตที่นี่
นึกไม่ถึงว่า อาหารสองเมนูที่เขาทำพอดีไปเสิร์ฟที่โต๊ะของลูกค้าประจำ ตอนนั้นเหล่าลูกค้าพากันพูดชมไม่หยุดปาก คิดว่าโรงแรมมีเชฟชื่อดังคนใหม่เข้ามาทำงาน วันนี้เหล่าเถ้าแก่แขกประจำกลุ่มนั้นก็กลับมาที่ร้านอีกครั้ง แล้วก็ต้องการสั่งเมนูเหล่านั้นอีก แต่กลับไม่ใช่รสชาติที่ต้องการ ก็เลยโทรหาประธานโรงแรม ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไร หรือต้องให้เงินสูงแค่ไหน ก็ต้องหารสชาตินั้นกลับมาให้ได้
พอประธานรู้ว่า โจคือคนที่ปรุงอาหาร และโดนผู้จัดการไล่ออกไปแล้ว เขาก็เลยปลดผู้จัดการไปทำตำแหน่งยามแทน โจทำอาหารด้วยหัวใจ เมื่อลูกค้าประจำกลุ่มนั้นกินเข้าไป ก็พร้อมใจกันยกนิ้วโป้งให้ประธาน แล้วว่า : กี่ปี่แล้วก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้กินอาหารอร่อยขนาดนี้ มีคนมีฝีมือขนาดนี้ คุณไม่รู้จักเอามาใช้ ไม่อย่างนั้นยกให้ผมดีกว่า ผมจะให้เขามาเป็นพ่อครัวส่วนตัว
ประธานหัวเราะแหะๆ : จะเอาไปครอบครองคนเดียวไม่ได้หรอกครับ อยากกินก็มาที่โรงแรมก็แล้วกัน ผมเลี้ยงเอง โจขยันขันแข็งในการทำงาน ตรุษจีนก็ไม่กลับบ้าน แต่โอนเงิน 2.5 แสนไปให้พ่อแม่แทน
แปลและเรียบเรียงโดย : LIEKR,maginside
สำนักข่าววิหคนิวส์