18 พฤศจิกายน 2560 เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา ได้โพสข้อความทางเฟสบุ๊ค ระบุว่า ไม่แปลกใจเลยที่การต่อต้านทางสังคม ขยายวงกว้าง เกิดการก่อตัวทางการเมืองในรูปแบบใหม่ ที่ใช้สื่อใหม่เป็นเครื่องแสดงออก ต่างจากเดิมที่จะยึดม๊อบเป็นสำคัญ
การแสดงออกเชิงการต่อต้านทางสังคม กำลังเป็นการแสดงออกของตัวบุคคล แทนที่จะมาจากแกนนำเหมือนแต่ก่อน ปัญหายางพารา ปาล์ม ประมง ทั้งหมดมาจาก แรงกดดันจากจีน และสหรัฐ ที่ต่อต้านรัฐบาล กดราคาสินค้า เพราะการวางตัวขาดซึ่งสมดุลของอำนาจ ขัดหลักยุทธศาสตร์ชาติไทยที่มีมาช้านานนับกว่า 300 ปี
ปฏิกิริยาของประชาชนเชิงการต่อต้าน เกิดเพราะการเดินมาผิดทางคือการใช้ประชานิยม การตั้งพรรคการเมือง วาทกรรม “เลือกตั้ง” คำถามที่แสดงถึงสติปัญญาของผู้นำที่ไร้ทางออก กำลังเร่งปฏิกิริยาทางการเมืองอันเป็นลบ ทำให้การต่อต้านขยายวงกว้างขึ้น
หลังงานพระราชพิธีเป็นต้นมา ทุกพวก ทุกเหล่า ทุกสี ทุกพรรค จึงพลิกหันมาโจมหันเป็นศัตรู เพราะ “ทะลึ่ง” เดินการเมืองแค่ตามองเห็น แล้วเอาสิ่งที่เห็นมาตั้งคำถาม ปลดล๊อคพรรค เลือกตั้งท้องถิ่น สนับสนุนพรรคการเมือง ทั้งที่ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เชื่อคำยุยงเหล่าสนิม ที่ยุให้ตั้งพรรคการเมือง เพื่อแบ่งแยก เหลือง ฟ้า อันเป็นฝ่ายผู้รักชาติ สถาบัน ออกจากกัน แต่ยังคงมีแดงที่เหนี่ยวแน่น นักการทหารก็แบ่งแยกแตกฝ่าย เพราะใช้อำนาจผิด จนกลายเป็นแนวร่วมขบวนการล้มเจ้าอย่างไม่รู้ตัว
สิ่งเหล่านี้คือปฏิกิริยาทางการเมือง กลยุทธ์ทางการเมืองในเชิงลบ ในยามวิกฤติศรัทธา มิตรจึงกลายเป็นศัตรู ประชาชนจึงแห่ไล่ และจะจบที่ไร้แผ่นดินอยู่ทุกรายไป ดั่งล่าสุดเกิดขึ้น 3 ราย ยุคทหารเกิดขึ้น 2 ราย จอมพลถนอม จอมพลประภาศ
การปรับฝ่ายบริหารในยามนี้ ต่างจากเดิมเพราะ ประเทศจะปกครองได้ “ประชาชนยินยอมให้ปกครอง” เมื่อประชาชนไม่ยินยอมให้ปกครอง ย่อมบริหารมิได้ ประชาชน ข้าราชการ จึงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการปกครอง ต่อต้านคน 36 คน ที่มีอำนาจ และกำลังแตกกันเอง โดยหารู้ไม่ว่า ตำแหน่งอยู่ได้ไม่นาน แต่ตำนานอยู่ตลอดไป
สิ่งเหล่านี้คือปรากฎการณ์ทางการเมือง ที่ไม่ถอยทางยุทธศาสตร์ และรุกทางยุทธวิธี ยากจะไปรอด ความล้มเหลวทั้ง ปฏิรูป เศรษฐกิจ จึงปรากฎเด่นชัด จนกลายเป็นการต่อต้านทางสังคม ด้วยความปราถนาดี
คำว่าพอ คือพอดี ไม่เกินไป มีหลักใหญ่ใจความสำคัญคือการทำความดี ที่มีเป้าประสงค์คือ “ ทำความดี เพื่อความดี “
สำนักข่าววิหคนิวส์