เนตร นาคสุข ไม่รอด
กอ.สอบต่อผิดวินัยร้ายแรง
บางคนอาจจะคิดว่าเป็นผลกรรมตามทัน แต่ความจริงก็ไม่อาจจะใช้คำนั้นได้ เพราะเป็นเรื่องการประชุมพิจารณาพฤติการณ์ของนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด ของคณะกรรมการอัยการ หรือก.อ. กรณีมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ์ อยู่วิทยา ทายาทเจ้าของเครื่องดื่มยี่ห้อดัง กรณีขับรถหรูชนนายดาบตำรวจเสียชีวิต
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ที่มีนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ เป็นประธาน ได้สรุปผลสอบว่านายเนตรผิดวินัยไม่ร้ายแรง เพราะไม่พบการทุจริต แต่เป็นความบกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ เห็นควรงดบำเหน็จและงดเลื่อนขั้่น 2 ปี และไม่เสนอโปรดเกล้า แต่งตั้งเป็นอัยการอาวุโส
บทสรุปนี้เดิมต้องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมก.อ.เมื่อ 10 กันยายน ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากการส่งเอกสารล่าช้า จึงต้องเลื่อนการพิจารณาเป็นวันที่ 21 ก.ย. นอกจากนี้ ยังมีก.อ.บางคนมีความเห็นว่า นายเนตรน่าจะเข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรง เนื่องจากเป็นอัยการที่มีประสบการณ์ยาวนาน อีกทั้งมีการยื่นขอความเป็นธรรมถึง 13 ครั้งจากฝ่ายทนายความนายวรยุทธ์ กระทั่งอัยการสูงสุด 2 คนตัองสั่งยุติการร้องขอความเป็นธรรม
ที่ประชุมก.ย.วันนี้ มีมติเห็นว่านายเนตรเลินเล่อ ประมาท ไม่รอบคอบถึง 9 เสียงจากที่ประชุม 13 คน เห็นว่าผิดวินัยร้ายแรง แต่ยังไม่สามารถพิจารณาลงโทษได้ เพราะตามระเบียบ ก.อ.แล้ว ต้องตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงขึ้นมาอีกหนึ่งชุดต่างหาก มีเวลาในการพิจารณา 60 วัน แต่หากไม่แล้วเสร็จ สามมารถต่อเวลาการพิจารณาได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 วัน
ส่วนบทลงโทษสูงสุดคือการไล่ออก หากเจ้าตัวไม่เห็นด้วยสามารถฟ้องศาลปกครองได้ ทั้งนี้ แม้นายเนตรจะยื่นหนังสือลาออกจากราชการเป็นครั้งที่ 2 แล้ว แต่การพิจารณาของคณะกรรมการยังสามารถดำเนินการต่อได้ ภายในกรอบเวลาไม่เกิน 180 วัน
ถือว่าเป็นความคืบหน้าชัดเจนจากในส่วนอัยการว่าด้วยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนวนคดีนายวรยุทธ์ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2555 จากนั้นก็ยืดเยื้อมาต่อเนื่องทั้งในส่วนตำรวจ อัยการ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆ แม้ว่าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มีศ.วิชา มหาคุณ อดีตปปช.เป็นประธาน และได้สรุปส่งให้พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว ตั้งแต่ 31 ส.ค.63 พร้อมระบุใครบ้างที่บกพร่องและมีความผิด
คดีนี้ เป็นหนึ่งในคดีมหากาพย์ที่สะท้อนให้เห็นความเหลวแหลกของกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะต้นน้ำ คือตำรวจ และกลางน้ำ คืออัยการ ที่สำคัญ คดีได้เงียบหายมาตลอด กระทั่งสื่อต่างประเทศเป็นผู้ปลุกกระแสเรื่องนี้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เงียบหายไปอีกเป็ระยะๆ
ประจักษ์ มะงศ์สา