44 ส.ส.ก้าวไกล” ยื่นร่างแก้ กม.คุ้มครองเสรีภาพฯ 5 ฉบับ ผงะ! ล้างมาตรา 112 หั่นโทษหมิ่นประมาท-อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เหลือแค่คุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท ให้สำนักพระราชวังเป็นคนร้องทุกข์ และความผิดยอมความได้ ส่วนติชมสุจริตไม่ผิด “ม็อบตีหม้อ” คึกชู 3 นิ้วยันยึด 3 ข้อเรียกร้องเดิม
ที่รัฐสภา วันที่ 10 ก.พ. เวลา 10.15 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และหัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค พร้อมด้วย ส.ส.พรรคก้าวไกล เข้ายื่นร่างแก้ไขพระราชบัญญัติเกี่ยวกับกรณีคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน จำนวน 5 ฉบับ ให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่าน นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาฯ โดยมี ส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมลงชื่อจำนวน 44 คน จาก ส.ส.ของพรรคทั้งสิ้น 53 คน
นายพิธากล่าวว่า พรรคมีจุดยืนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยให้สถาบันปลอดจากคำติฉินนินทา ปลอดจากคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ของสาธารณชน ซึ่งต้องดึงสถาบันให้พ้นการเมือง เรามีหน้าที่ป้องกันไม่ให้กลุ่มบุคคลเข้ามาฉกฉวยแอบอ้างความจงรักภักดีเพื่อใช้โจมตีอีกฝ่าย โดยเฉพาะการใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเครื่องมือฟ้องร้องกลั่นแกล้งปิดปากผู้อื่น
หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวว่า วันนี้ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ต่อการชุมนุม แต่จำเลยในคดีมาตรา 112 ควรมีสิทธิ์ในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ภายใต้หลักการจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะพิพากษาถึงที่สุด กรณีนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้มาตรา 112 ซึ่งกระทบเสรีภาพสิทธิประชาชนในยุคสมัยใหม่ ซึ่งผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติแสดงความกังวลการใช้มาตรา 112 ในประเทศไทย ที่มีการจับกุมมากขึ้น มีการลงโทษที่รุนแรง เขาย้ำว่า ตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ บุคคลสาธารณะย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แม้จะมีการดูหมิ่นแต่ไม่มีเหตุที่จะลงโทษอย่างรุนแรง โดยขอให้ไทยทบทวนยกเลิกการดำเนินคดี และให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังในผู้ที่ใช้เสรีภาพแสดงออกอย่างสงบ
“ขอย้ำว่าการธำรงไว้ซึ่งสถาบันให้อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตย จะไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการใช้กฎหมายบังคับและการปราบปราม แต่ดำรงอยู่ด้วยความชอบธรรม และความยินยอมพร้อมใจจากประชาชน ดังนั้นก่อนจะสายไปกว่านี้ เราต้องแสวงหากุศโลบายที่สอดคล้องกับยุคสมัย ทำให้สถาบันพ้นจากการเมือง ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง เพราะนอกจากปัญหามาตรา 112 แล้ว ปีที่ผ่านมายังมีการใช้กฎหมายอื่นๆ เป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกด้วย” หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าว
ขณะที่นายชัยธวัชกล่าวว่า สาระสำคัญของร่างกฎหมายทั้ง 5 ฉบับนั้น 1.ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ…. มีเนื้อหาแก้ไขเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาท เพื่อประกันเสรีภาพในการแสดงออกให้ได้สัดส่วนกับการเคารพในสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น สอดคล้องกับหลักสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ โดยส่วนที่หนึ่ง เป็นการยกเลิกโทษจำคุกให้คงเหลือแต่โทษปรับ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลทั่วไป (ม.326, 328, 393) ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน (ม.136) และศาลหรือผู้พิพากษา (ม.198)
ส่วนที่สอง ย้ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามมาตรา 112 ไปกำหนดเป็นลักษณะความผิดใหม่ คือ “ลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” เพื่อให้มีความเหมาะสมทั้งในแง่ของโครงสร้างของบทบัญญัติ อัตราโทษ การยกเว้นความผิด การยกเว้นโทษ และผู้ร้องทุกข์
ก้าวไกลชงหั่นโทษ ม.112
“เพื่อคุ้มครองพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐ และของพระราชินี รัชทายาท รวมทั้งเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้เหนือกว่าประชาชนทั่วไป จึงกำหนดอัตราโทษให้ยังมีโทษจำคุก แต่ลดอัตราโทษลงมาไม่ให้รุนแรงจนเกินไป ไม่กำหนดโทษขั้นต่ำไว้ รวมทั้งสามารถพิจารณาลงโทษปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อให้ได้สัดส่วนกับสภาพความผิด กล่าวคือ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นายชัยธวัชกล่าว
เลขาฯ พรรคก้าวไกลกล่าวว่า นอกจากนี้ยังเสนอให้มีบทยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษ โดยบัญญัติให้ผู้ใดติชม แสดงความคิดเห็น หรือแสดงข้อความใดโดยสุจริต เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผู้นั้นไม่มีความผิด และเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลทั่วไปนำฐานความผิดนี้ไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง กลั่นแกล้งผู้อื่น หรือนำไปใช้โดยไม่สุจริต ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงกำหนดให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์ และกำหนดให้ความผิดในลักษณะนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
ส่วนที่สาม ย้ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท ประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่ราชสำนัก ตามมาตรา 133 และ 134 ไปกำหนดเป็นลักษณะความผิดใหม่คือ “ลักษณะความผิดเกี่ยวกับเกียรติยศของประมุขแห่งรัฐหรือผู้แทนรัฐต่างประเทศ” เพื่อให้มีความเหมาะสมทั้งในแง่ของโครงสร้างของบทบัญญัติและอัตราโทษ โดยยกเลิกโทษจำคุก คงเหลือแต่โทษปรับ
เลขาฯ พรรคก้าวไกลกล่าวว่า 2.ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ …) เป็นการแก้ไขกำหนดบทลงโทษเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือ พนักงานสอบสวน ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ กระทำการบิดเบือนกฎหมายในระหว่างทำการสอบสวน มีความเห็นทางคดี สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี เพื่อเกิดประโยชน์ หรือความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด ให้โทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี 3.ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ …) ว่าด้วยการกำหนดคำนิยม คดีปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ และกำหนดให้จำเลยสามารถยื่นคำร้องขอให้ยุติคดี กำหนดให้มีการไต่สวนอย่างเร่งด่วน และการชดใช้ความเสียหายและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแก่จำเลย 4.ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่…) พ.ศ. … และ 5.ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่…) พ.ศ. …
ถามถึงการยื่นร่างกฎหมายครั้งนี้มีการแก้ไขในมาตรา 112 ด้วย จะถูกมองเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เเละการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ตลอดชีวิตเคยเห็นการล้มล้างระบอบการปกครองแบบเดียวคือรัฐประหาร ซึ่งปัจจุบันหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง แกนนำเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ยังไม่เคยเห็นการแก้ไขกฎหมายเป็นการล้มล้างการปกครอง
“พรรคก้าวไกลไม่ได้ยกเลิกกลไกในการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐเอาไว้ โดยเรายังคงกำหนดโทษเเละความผิดเอาไว้ เพียงเเต่เราปรับลดลงมาให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อป้องกันไม่ให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ พระราชินี เเละองค์รัชทายาท แน่นอนสิ่งที่เราเสนออาจจะไม่ถูกใจกับผู้ที่ต้องการเห็นสมควรให้ยกเลิกไปเลย หรือควรเเก้ไขให้ก้าวหน้ากว่านี้ แต่เราในฐานะพรรคการเมืองเราควรที่เสนอที่พอรับได้มากที่สุด เเละทุกฝ่ายพอจะคุยกันได้ เพื่อคลี่คลายสถาการณ์ความขัดเเย้งทางการเมือง เเละหากเมื่อร่างดังกล่าวเข้าสภาผู้แทนราษฎร เราจะหารือกับทางพรรคอื่นๆ เพื่อหาเเนวทางด้วยกันอย่างมีวุฒิภาวะต่อไป” เลขาฯ พรรคก้าวไกลระบุ
9 ส.ส.ไม่ลงชื่ออ้างเอกสิทธิ์
ด้านนายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ชี้แจงกรณีไม่ได้ลงชื่อร่างแก้ไขดังกล่าวร่วมกับพรรคว่า พรรคเข้าใจให้เอกสิทธิ์ ส.ส. ซึ่งเหตุที่ไม่ลงนามด้วยเพราะมองในแง่หลักการบางอย่างยังไม่ถึงเวลา ตามหลักการกฎหมายแม้จะเขียนออกมา แต่ถ้าคนไม่ได้ทำผิดก็ไม่เป็นปัญหาต่อคนนั้นๆ อีกทั้งขนบธรรมเนียมแต่ละประเทศแตกต่างกัน ประเทศไทยมีระเบียบการปกครองเป็นเอกลักษณ์ มีลักษณะเฉพาะพิเศษ การเสนอกฎหมายดังกล่าว
“ส.ส.ที่ไม่ได้ลงนามด้วยทั้งหมด 9 คน ซึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไร และพรรคเข้าใจ เพื่อน ส.ส.ที่ไม่ได้ร่วมลงนามนั้นเป็นใครบ้างผมไม่ทราบ เพราะถือว่าโดยมารยาทเราไม่ควรบอกชื่อเขา เรื่องนี้เป็นเอกสิทธิ์ส่วนตัวที่ถามว่าการไม่ลงนามด้วยกับทางพรรคจะถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือไม่ เท่าที่พบกับหัวหน้าพรรคคนอื่นๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ยังพูดคุยกันด้วยดี ทุกคนเข้าใจ ก่อนหน้าก็ไม่เคยฝืนมติพรรค เพียงแต่บางเรื่องก็ขอเอาเหตุผล หลักการเป็นหลัก แม้ความคิดเห็นกรณีนี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลบ้าง เข้าใจได้ เราเป็นบุคคลสาธารณะ จึงถูกวิจารณ์ได้ในเรื่องความเห็นต่าง” นายคารมกล่าว
สำหรับรายชื่อ ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่ไม่ได้ร่วมลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 จำนวน 9 ราย ประกอบด้วย นายวินท์ สุธีรชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายเกษมสันต์ มีทิพย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, น.ส.วรรณวรี ตะล่อมสิน ส.ส.กทม., นายทศพร ทองศิริ ส.ส.กทม., นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ส.ส.กทม., นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี, นายเอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย และนายพีรเดช คำสมุทร ส.ส.เชียงราย
วันเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี พร้อมประชาชนกลุ่มอาชีพที่หลากหลาย เดินทางไปที่รัฐสภายื่นรายชื่อประชาชนจำนวน 101,568 คน เพื่อคัดค้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการนัดชุมนุมของกลุ่มราษฎรที่สกายวอล์กปทุมวันว่า ก็ควรหรือไม่ ถ้าไม่ควรก็อย่าไปสนับสนุนเขา ยังไม่เข็ดหลาบกันอีกหรือไงประเทศไทย สังคมก็ต้องช่วยกันบ้างนะ
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กล่าวว่า กลุ่มราษฎรนัดรวมพลคนไม่มีจะกิน ตีหม้อไล่เผด็จการที่สกายวอล์ก ยังต้องคำนึงเรื่องการแพร่ระบาดไวรัสโควิด และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขอความร่วมมืออย่าก่อให้เกิดอะไรที่ขัดต่อกฎหมาย ซึ่งจริงๆ ตำรวจไม่อยากใช้มาตรการบังคับกฎหมาย
“ผมเป็นคนที่พยายามไม่ทำอะไรที่ไม่จำเป็น พยายามพูดคุย แต่ถ้าจำเป็นต้องทำผมไม่เคยลังเล ผมทำอย่างนี้มาตลอดชีวิตผม ผมอาจไม่ค่อยพูด แต่ถ้าจะทำผมทำเลย” ผบ.ตร.กล่าว
ที่บริเวณสกายวอล์กแยกปทุมวัน ตั้งแต่เวลา 15.30 น. ซึ่งกลุ่มราษฎรนัดจัดกิจกรรมในเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมการรักษาความปลอดภัยบริเวณทางขึ้นสกายวอล์กแต่ละด้าน โดยกำลังตำรวจในเครื่องแบบนำแผงเหล็กกั้น เพื่อตรวจสอบผู้ที่จะเข้าร่วมกิจกรรมไม่ให้มีการพกพาอาวุธหรือสิ่งต้องห้ามเข้าบริเวณ ส่วนรอบนอกตำรวจควบคุมฝูงชน จำนวน 3 กองร้อย และกองร้อยน้ำหวานอีก 1 กองร้อย ได้เตรียมความพร้อมอยู่ที่อาคารนิมิบุตร พร้อมด้วยรถฉีดน้ำแรงดันสูง หรือจีโน่ 2 คัน และรถบรรทุกน้ำอีก 2 คัน เพื่อเตรียมความพร้อมเหตุที่ไม่สามารถควบคุมได้
ม็อบตีหม้อคึกยัน 3 ข้อเดิม
เวลา 16.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรทยอยมาร่วมกิจกรรมตีหม้อไล่เผด็จการ โดยมีอาเล็ก โชคร่มพฤกษ์ ศิลปินกลุ่มราษฎร นำร้องเพลง ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมที่พกหม้อและอุปกรณ์ทำครัวก็ตีประกอบจังหวะ พร้องชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการชุมนุมได้มีหญิงสูงอายุรายหนึ่งนำสีสเปรย์มาฉีดที่ป้ายบริเวณสกายวอล์กด้วยสีชมพู ข้อความยกเลิก 112 เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงกองร้อยน้ำหวานจึงเข้าควบคุมตัวไปซักถาม โดยยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา
เวลา 17.00 น. การจัดกิจกรรมของกลุ่มคณะราษฎรที่เดิมจะจัดบนสกายวอล์ก แต่ด้วยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ และเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนเข้าบล็อกพื้นที่โดยรอบ พร้อมตรวจกระเป๋าสัมภาระอย่างละเอียด จึงไม่สะดวกในการเข้าพื้นที่โดยเฉาะการ์ดของกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้แกนนำตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่จัดกิจกรรมจากลานสกายวอล์กเป็นลานหน้าหอศิลป์แทน
โดยทางแกนนำได้ตั้งเครื่องขยายเสียง ระบบไฟโดยใช้กระแสไฟจากเครื่องปั่นไฟ มีแกนนำสลับขึ้นกล่าวปราศรัยโจมตีรัฐบาล และยังคงเสนอ 3 ข้อเรียกร้อง ให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก, แก้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการปฏิรูปสถาบัน โดยมีแกนนำเริ่มเข้าพื้นที่ นอกจากนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ยังมี ทราย-เจริญปุระ, นายธัชพงศ์ แกดำ เป็นต้น
เวลา 18.10 น. นายภาณุพงศ์ขึ้นปราศรัยหลายประเด็น อาทิระบุถึงกรณีที่มีการประชาสัมพันธ์ไทยจะเป็นศูนย์กลางผลิตวัคซีนป้องกันโควิดให้อาเซียน แต่เพื่อนบ้านกลับได้วัคซีนหมดแล้ว ส่วนการเยียวยาก็ไม่ได้รับทุกคน ตนไปยื่นหนังสือที่กระทรวงการคลังว่างบไม่พอไม่ต้องกู้ แต่ให้ลดงบสถาบันกษัตริย์และกองทัพ และโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ไม่เห็นหัวประชาชน เอาสถาบันกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือปิดปากผู้เห็นต่าง ยัดเยียด ม.112 ทั้งที่ไม่หมิ่น แต่เป็นความจริงที่รับไม่ได้
“ถ้าไม่อยากให้ประชาชนวิจารณ์ ลงมาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ยกเลิก ม.112 ก่อนที่จะประกาศเป็น Republic of Thailand และยืนยัน 3 ข้อเรียกร้อง ให้ พล.อ.ประยุทธ์และองคาพยพออกไปให้เร็วที่สุด แก้รัฐธรรมนูญมาจากประชาชน ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องปฏิวัติ นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่ประชาชนคิดไว้อยู่แล้ว” นายภาณุพงศ์ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายภาณุพงศ์ปราศรัยได้เกิดเหตุการณ์ยึดป้ายผู้ชุมนุมบนสกายวอล์ก นายภาณุพงศ์จึงบอกว่าจะติดอีกทั่วประเทศ ถ้าถ้อยคำแค่นี้ยึด ต่อไปคำจะแรงกว่านี้อีก 10 เท่า
ต่อมาเวลา 19.20 น. น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำกลุ่มราษฎร ปราศรัยว่า เมื่อวาน (9 ก.พ.) เพื่อนเราถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง วันนี้ก็มีผู้ชุมนุมถูกจับ แค่ชูป้ายผิดอะไรนักหนา เราบอกแล้วว่าเราเปิดศักราชต่อสู้เผด็จการศักดินาอีกครั้ง การชุมนุมวันนี้มามากกว่าเมื่อวาน อย่าคิดว่าโควิดจะทำให้เราลืมข้อเรียกร้อง ข้อเรียกร้องเราเหมือนเดิม ข้อเรียกร้องใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุดคือปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
“เพื่อนเราถูกจับไป 10 คน เราจะไม่ปล่อยให้ตำรวจมีมาตรฐานเช่นนี้ ไม่ยอมให้ตำรวจมาคุมตัวมั่วซั่ว และไม่ยอมให้ถูกจับอีกแม้แต่คนเดียว” น.ส.ปนัสยาระบุ
จากนั้น น.ส.ปนัสยาประกาศให้ผู้ชุมนุมร่วมกันลุกขึ้นเดินไปยัง สน.ปทุมวัน เพื่อติดตามเรื่องเพื่อนที่ถูกจับ แกนนำและผู้ชุมนุมราษฎรจึงทำการเดินขบวนออกจากบริเวณหน้าหอศิลป์ไปยัง สน.ปทุมวัน
ที่ สน.ปทุมวัน เวลา 19.45 น. นายภาณุพงศ์และ น.ส.ปนัสยา ได้เจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยนายภาณุพงศ์ประกาศว่า จากการเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่าได้ปล่อยตัวเพื่อนเราไปแล้วจำนวน 8 คน ยังเหลืออีก 2 คน ซึ่งเป็นเยาวชนที่อยู่ระหว่างการควบคุมตัว โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าอยู่ระหว่างทำสำนวน เพราะมีเครื่องคอมพ์เพียงเครื่องเดียวจึงทำให้เกิดการล่าช้า
เวลา 20.20 น. ได้เกิดเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น 3 ครั้งบริเวณจุฬาซอย 5 ด้านหลัง สน.ปทุมวัน ทำให้ประชาชนและผู้ชุมนุมแตกตื่นวิ่งกันอลหม่าน โดยเจ้าหน้าที่พยายามที่จะประกาศไม่ให้มวลชนเข้าไปในบริเวณพื้นที่ ส่วนเสียงดังกล่าวจะเป็นระเบิดหรือพลุอยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ โดยบริเวณพื้นที่โดยรอบ สน.ปทุมวันเกิดความชุลมุนอย่างมาก
กระทั่งเวลา 20.47 น. น.ส.ปนัสยากล่าวว่า วันนี้เพื่อนเราถูกจับมาทั้ง 4 คน ตอนแรกทนายบอกต้องประกันตัว แต่เมื่อเราทุกคนรวมใจกันมากดดัน เจ้าหน้าที่จึงยอมปล่อยตัวทั้ง 4 คน
จากนั้นเวลา 21.00 น. น.ส.ปนัสยาได้ประกาศยุติการชุมนุม พร้อมทั้งให้ทุกคนเคาะหม้อ กระทะก่อนแยกย้ายกันกลับ.