สยามรัฐ-เพจเฟซบุ๊ก Peace News โพสต์ข้อความระบุว่า…
กังขาคนอื่นมีพื้นที่มนุษย์พูดกันได้
แต่“จตุพร”กลับห้ามคุยกับคนรู้จัก
“จตุพร”จวกพวกหาเศษหาเลย โชว์รูปถ่ายโยงด่าทางการเมือง ฉะ“คุณเป็นพ่อผมหรือไง”จึงไม่ให้ไปคุยกับคนรู้จักกัน สอนควรแยกแยะพื้นที่มนุษย์ส่วนตัวกับความเชื่อทางการเมืองออกจากกัน ชี้แค่พูดคุยกันตามมนุษย์ปกติแบบวิญญูชน ยันไม่แตะต้องหลักการอุดมคติของกัน ลั่นไม่เคยเปลี่ยนอุดมการณ์ทางการเมือง
เมื่อ 14 ก.ย. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ชี้แจงกรณีรูปภาพนั่งร่วมโต๊ะกับนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า ไม่ได้หมายถึงความเชื่อทางการเมืองของตนจะเปลี่ยนแปลงไปอยู่กับอีกฝ่ายที่มาสังสรรค์งานวันเกิดนายประสาร มฤคพิทักษ์ ครบรอบ 72 ปี
นายจตุพร กล่าวว่า การต่อสู้ของตนตั้งแต่อดีตและปัจจุบัน กล้ายืนยันได้ว่า ไม่มีความขัดแย้งเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เป็นความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกันเท่านั้น และความเชื่อที่แตกต่างกันนั้น ในทางส่วนตัวของชีวิตมนุษย์แล้ว ไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับความชิงชัง พกแต่ความคับแค้นของกันและกันเสมอไป
“รูปภาพปรากฎว่อนเน็ตนั้น ผมไปร่วมงานที่หลังช่วง 2 ทุ่มกว่า และรู้ว่านายอานันท์ อยู่ในงานก่อนแล้ว ผมรู้จักนายอานันท์ ตั้งแต่การทำ รธน. 2540 ซึ่งผมร่วมในฐานะภาคประชาชน โดยนายอานันท์ เป็นประธานกรรมาธิการยกร่าง รธน. ห้วงเวลานั้นได้พบและแลกเปลี่ยนกันหลายครั้ง”
อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ มีหลายฝ่ายเข้าไปคุยกับนายอานันท์เช่นกัน เคยมีภาพนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ร่วมทั้งมีภาพ รมว.ศึกษากับภรรยา แกนนำ กปปส.ก็เคยไปพบพูดคุยกับนายอานันท์ เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่จำเป็นเมื่อเจอหน้ากันต้องแสดงความวิวาทใส่กัน
ตนรู้มีคนมาถ่ายภาพ เป็นศิลปินวงคาราวาน ทั้งที่ในอดีตเคยร่วมต่อสู้ด้วยกันมา แม้ช่วงหลังไปขึ้นเวทีอีกฝ่ายหนึ่งที่แตกต่างทางความเชื่อทางการเมือง เมื่อเจอกันในงานสามารถพูดคุยกันได้ตามปกติในฐานะอดีตที่รู้จักกัน โดยไม่มีปัญหาต่อกัน
ไม่เพียงเท่านั้น ในงานบรรจุอัฐิวีรชนพฤษภา 2535 ตนยังเจอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเคยร่วมขบวนการต่อสู้ในปี 2535 ด้วยกัน แต่ในปี 2553 ต้องมาต่อสู้กัน ก็ไม่มีปัญหา เนื่องจากไปร่วมงานในวีรชนปี 2535 ดังนั้น การเจอกันจึงเป็นเรื่องปกติ และมีมารยาททางสังคมต่อกัน
นอกจากนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถ้าเป็นช่วงการต่อสู้ต่างคนต่างทำหน้าที่ แต่ในปัจจุบันไม่มีใครต้องต่อสู้กัน ตนรู้เวลาต่อสู้ทางการเมืองต้องต่อสู้อย่างไร แต่ในเวทีที่เป็นวิญญูชนก็เจอกันแบบวิญญูชนกัน
“การคุยกับอดีตนายกฯอานันท์นั้น ทำไม ธนาธร กับปิยบุตร ไปคุยได้ แล้วจตุพร ทำไมถึงคุยไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายคุยได้ตามปกติ และนายอานันท์ ก็มีความเป็นตัวตน เอกลักษณ์ของท่าน ส่วนการต่อสู้เป็นแนวทางของใครก็ของคนนั้นอยู่แล้ว องค์กรใคร ก็ของคนนั้นอยู่แล้ว”
นายจตุพร กล่าวว่า นายไข่ วงมาลีฮวนน่า มางานศพพ่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังร่วมร้องเพลงด้วย แม้ทางการเมืองเคยขึ้นเวทีกับฝ่ายหนึ่ง แต่ในด้านชีวิตแล้ว พวกเขารู้จัก คบกันมายาวนาน แล้วกลับมาร้องเพลงในงานที่มีความสำคัญกับชีวิตของอีกคนหนึ่งได้
ดังนั้น ตนจึงเห็นว่า มนุษย์อย่าเห็นแก่ตัวกันให้มาก แค่เห็นรูปภาพก็โพสต์แล้ว ต้องแยกแยะระหว่างความเป็นส่วนตัวในเวทีสังคมกับสนามการต่อสู้ออกจากกัน หรือต้องการว่า มนุษย์จะมีสังคมกันไม่ได้ ต่อไปนี้งานสำคัญคงไปไหนกันไม่ได้
“ผมอยากจะบอกว่า ไม่ใช่เรื่องของการเห็นพ้องต้องกัน แต่เป็นการพูดคุยกันที่ห้วงเวลาหนึ่งเคยรู้จักกัน เคยทำหน้าที่ร่วมกัน แต่อีกช่วงเวลาหนึ่งต่างกันแยกย้ายไปทำตามความเชื่อของตัวเอง และผมไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวกับใคร ผมปฏิบัติอย่างนี้มาตลอด แต่พวกนายฟอร์ด มาหาเศษหาเลยใช้ไม่ได้เลย”
นายจตุพร กล่าวว่า เราต้องแยกแยะในงานสังคม เพราะสารพัดงานนั้น เราต้องไปเจอกับคนที่มีความคิดแตกต่างกัน บางคนอีกซีกหนึ่งมาร่วมงานศพฝ่ายเรา ก็ต้องให้ความต้อนรับเป็นปกติ ขณะเดียวกันงานศพอีกฝ่ายหนึ่งตนก็ไปเช่นกัน เพราะก่อนหน้าที่เราจะมีความคิดเห็นแตกต่างกันนั้น เราได้รู้จักกันในสิ่งที่ดีงามกันมาก่อน ส่วนสิ่งที่ต่างกันเราไม่คุยกัน ก็ว่ากันตามเชื่อกัน
“เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาว นิสิต นักศึกษาเลย ถ้ามีความขัดแย้งกันแล้วคงเป็นเรื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น ซึ่งยังดำรงอยู่ แต่ไม่ใช่ความขัดแย้งในปัจจุบัน ส่วนปัจจุบัน ตนได้แสดงความคิดเห็นสนับสนุนข้อเรียกร้องไปครบถ้วนอยู่แล้ว ดังนั้น ภาพถ่ายที่ปรากฎนั้น หลากหลายเรื่องราว อย่ามาหาเศษหาเลยกัน”
รวมทั้งย้ำว่า แค่ภาพถ่ายนั้น คิดว่าตนจะไปเจรจากับสถานการณ์ปัจจุบันให้ใคร ซึ่งรูปนั่งสังสรรค์ในงานไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการต่อสู้ในปัจจุบันนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวที่ต้องไปต่อสู้กัน ตนมีจุดยืนของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนนายฟอร์ด ไม่ต้องมายุ่ง เพราะรำคาญ ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกันอยู่แล้ว
อีกทั้ง การมีอารมณ์ ความรู้สึกตามมนุษย์นั้น ควรมีความคิดอ่านกันบ้าง หากไปพูดคุยกับใครไม่ได้ และต้องเป็นปัญหากันแล้ว ทำไมคนอื่นทำได้ อย่างไรก็ตาม ตนจะบอกว่า การพูดคุยนั้นเป็นมารยาทสังคม แต่ถ้าการต่อสู้ตามอุดมการณ์เปลี่ยนแปลงไป มาวิพากษ์วิจารณ์กันได้
นายจตุพร ย้ำว่า ในอดีตตนประกาศมาแล้วว่า ไม่มีเรื่องส่วนตัวกับใคร ส่วนเรื่องแตกต่างกันทางหลักการ อุดมคติจึงต่อสู้กัน และไม่โกรธใครเป็นการส่วนตัว ไม่เคยพกความคับแค้น ตลอดจนการต่อสู้ทางการเมืองนั้น ไม่ว่าเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ไม่ควรมีใครต้องบาดเจ็บ ล้มตายหรือติดคุกกันสักคนเดียว เราต้องมีพื้นที่ความเป็นมนุษย์
ดังนั้น การต่อสู้ใดก็ตาม ต้องมีการรักษาพื้นที่ความเป็นมนุษย์กันบ้าง นักต่อสู้แม้มีบาดแผลเป็นเรื่องปกติ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การพูดคุยไม่เกี่ยวทางการเมืองจึงควรเป็นเรื่องปกติ
“ถึงที่สุดแล้ว เกี่ยวกับรูปภาพนั้น ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เนื้อหาคุยกันก็มีแค่นี้ และผมก็เป็นของผมแบบนี้ ปากกับใจตรงกัน เมื่อคนอื่นพูดได้ แล้วทำไมนายจตุพรคุยไม่ได้ คุณเป็นพ่อผมหรือไง