ดร.สุกิจ พูลศรีเกษม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ได้โพสต์ระบุข้อความว่า..
ปัญหา การคุ้มครองพยานที่เป็นผู้ร่วมกระทําความผิด
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖
กับการสอบสวนในคดีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่โดยไม่ชอบ
…………………||||||||||…………………………
โดย นายสุกิจ พูนศรีเกษม นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง ศึกษากรณี” พรบคุ้มครองพยานในคดีอาญา
ข่าว เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติภาครัฐ และ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ – บก.ปปป.
ได้ร่วมจับกุม นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ เรียกรับเงินหน่วยงานในสังกัด (ประมาณ 15 หน่วยงาน)
โยกย้ายตำแหน่งผู้ใต้บังคับบัญชาในหน่วยงานในองค์กร ของตนเอง ผ่านช่องทางทางแอปพีเคชั่นไลน์“ถ้าไม่นำเงินมามอบให้ จะถูกโยกย้ายไปตำแหน่งอื่น ที่ห่างไกลจากภูมิลำเนา” พบเงินของกลางจำนวนมาก ย่อมเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งทางอิเล็กทรอนิกส์ คำพิพากษาฎีกาที่ 8087/2556
หากข้ออ้างของนายชัยวัฒน์ ตามข่าวเป็นความจริงย่อมมีความผิดทั้งผู้ให้และผู้รับ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 726/2563
ตามข่าว นายชัยวัฒน์ ฯ ให้การยืนยันว่า มีการบังคับเก็บเงินรายเดือน มีการซื้อตำแหน่ง มีการวิ่งขอให้อยู่ตำแหน่งเดิม มีการโยกย้ายตำแหน่งใหม่ที่สูงขึ้น จึงประสานงานกับเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อจับกุม โดยนายชัยวัฒน์ รับอาสานำเงินจำนวน 3 ชองเป็นเงินเก้าหมื่นบาทเศษไปถ่ายเอกสารและได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน โดยการหลอกล่อสนทนาทางโทรศัพท์กับท่านอธิบดีเจ้ากระทรวงต่อรองยอดเงิน แล้วตนเองเป็นผู้นำเงินดังกล่าวไปไว้ ในห้องท่านอธิบดี นั้น
กรณีจึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังและต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดี โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังที่กฎหมายกำหนดไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1 แม้ตำรวจจะนำเทปบันทึกเสียงมาประกอบคดี ก็เป็นพยาน ก็เพื่อจะได้เป็นหลักฐานของการกระทำความผิด
จึงเป็นเรื่องที่นายชัยวัฒน์ดำเนินการแสวงหาพยานหลักฐานด้วยตนเอง อันเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำผิด ที่ตนเองไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง หรือมีส่วนได้เสียกับเงินจำนวนดังกล่าว ประกอบกับเจ้าของเงินก็ยังไม่ได้ผลร้าย จากสัญญาต่างตอบแทน
นายชัยวัฒน์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ตามกฎหมายนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10510/2555
ในกรณีบุคคลที่มีส่วนร่วมในการกระทําความผิดอาจมีทั้งกรณีผู้ต้องหาซึ่งถูกกันเป็นพยานหรือจําเลยที่อ้างตนเองเป็นพยาน กําหนดไว้ในบทนิยามคําว่า ““พยาน”อย่างชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ บุคคลที่มีส่วนร่วมในการกระทําความผิดจึงไม่สมควรได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยาน ไม่ใช่ตำรวจหรือ ปปช.กันเป็นพยานแล้ว แม้คณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตมีกฏหมายรองรับอำนาจตนเองว่า สามารถกันผู้ร่วมกระทำผิดเป็นพยานได้
ประโยชน์ที่พยานจะได้รับ ไม่มีหลักประกันอะไรว่าจะไม่ถูกดำเนินคดีอีก กล่าวกันง่ายๆว่า ไม่ถูกดำเนินคดีที่ตำรวจหรือ ปปช.กันเป็นพยาน แต่ผู้ได้รับผลกระทบจากการที่ถูกพลาดพิงได้รับผลร้าย อาจฟ้องพยานที่ได้รับค่าตอบแทนไม่ต้องถูกดำเนินคดี อันเป็นความผิดต่อกฏหมายอื่นได้
แม้ตำรวจจะสงสัยว่าเงินจำนวนมากในห้องอธิบดี เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด “ก็ต้องพิจารณาถึงหลักกฏหมายและสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยต้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ ตั้งอนุกรรมการไต่สวน”ชึ้มูลความผิดเสียก่อน”
เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร์ไทย พศ.2560 มตรา 243 วรรคท้ายในกรณีจำเป็น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ อาจใช้ดุลยพินิจมอบหมายภาระหน้าที่ในการสอบสวนคดีอาญาบางคดีที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตนในเรื่องความผิดที่ไม่ใช่แรงร้ายแรง ให้กับหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติพิจารณาเห็นสมควร นั้น
สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ – บก.ปปป.อยู่ในอำนาจหน้าที่โดยตรง นั้น
หากตีความตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาไทย และกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญ พศ2561 มาตรา 61 อย่างเคร่งครัด
ถ้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ ส่งเรื่องที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามมาตรา 28(2)และ(4) ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามประมวลกฎมายวิธีพิจารณาความอาญาก็ได้นั้น
ย่อมเป็นข้อยกเว้นหลักการสำคัญ เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติให้มีช่องทางในการส่งมอบสำนวนการสอบสวนให้หน่วยงานอื่นรับผิดชอบแทนได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และพราะตามราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ นั้นหมายถึงก็ต้องไม่เกิน 30 วันเช่นกัน
หากเกินกำหนดย่อมส่งผลให้การสอบสวนที่ได้รับมอบโดยพนักงานสอบสวน ย่อมไม่ชอบด้วยกฏหมาย ถือว่า ไม่มีการสอบสวนในความผิดดังกล่าว พนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง
ต้องส่งเรื่องคืน คณะกรรมการป้องการและปราบปราบการทุจริตต้องตั้งอนุกรรมการไต่วสวน “ เป็นระบบไต่สวน”ชึ้มูลความผิด ชึ่งเป็นคนเป็นคนละส่วน กับตำรวจที่ใช้ระบบ”กล่าวหา
แม้คณะกรรมการป้องกันและปรราบปรามการทุจริตแห่งชาติจะทำ เอ็มโอยู กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ด้วยรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติกฏหมายรัฐธรรมนูญมีสภาพบังคับว่าตำรวจมีอำนาจสอบกรณีเดียวคือกรณีความผิดเพียงเล็กน้อย ที่ไม่ใช่ความผิดที่ร้ายยแรง
แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ต้องได้รับมอบหมายจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ เสียก่อน
จึงมีอำนาจสอบสวน การจับและคุมขังของ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ – บก.ปปป.และให้อำนาจประกันตัว “ก่อนทีอนุกรรมการป้องการการปราบปราบการทุจริตจะชี้มูลความผิด ย่อมขัดและแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติของกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ระบบไต่สวน ต้องดำเนินการตามขั่นตอนที่กฏหมายบัญญัติไว้ไม่ใช่เป็นกรณีระบบกล่าวหา เมื่อ”ตำรวจ สงสัยต้องจับ”แต่เมื่อ”ศาลสงสัย “ศาลต้องปล่อย คือหลักทวงดุลอำนาจทางกฏหมายก็ตาม
แต่เมื่อกฏหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ศาลจะลงโทษผู้กระทำผิดได้นั้นจะต้องใช้สำนวนการสอบสวนของ ปปช.เป็นหลัก เว้นแต่สำนวนการสอบสวนยังไม่สมบูรณ์ ศาลย่อมแสวงหาพยานหลักฐานได้เอง
“ระบบการไต่สวน”กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ – บก.ปปป. จึงไม่มีอำนาจการสอบสวน ได้เองโดยลำพัง แต่มีหน้าที่รวบรวมพยานพยานหลักฐานส่งให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ ตามหลักฏฆมายดังกล่าวข้างต้น ภายใน 30วัน
ดังนั้น ความผิดของนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ถูกกล่าวหา พฤติการณ์แห่งคดีก็ไม่ใช่ความผิดชึ่งหน้าที่จะจับหรือค้นโดยไม่มีหมายจับได้โดยชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 92 วงเล็บ(4)ว่า เมื่อมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิด หรือได้ใช้หรือมีไว้เพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด หรืออาจเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์การกระทำความผิดได้ซ่อนหรืออยู่ในนั้น
ด้วยเหตุนี้ เงินที่พบในห้องทำงานของนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิด แต่เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฏหมาย
กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นถึงองค์ประกอบของความผิด ว่ามีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมา ได้สิ่งของนั้นจะถูกโยกย้ายหรือทำลายเสียก่อน
ผลการตรวจค้นแม้จะมีชื่อของแต่ละหน่วยงานบนซองสำหรับใส่เงินมีจำนวนหลายซ่องและเงินจำนวนมากก็ตาม เงินที่ตรวจค้นได้ไม่ใช่ทรัพย์สินมีไว้เป็นความผิด ไม่ใช่ทรัพย์สินในขณะจับกุมได้ในการกระความผิดฐานเรียกรับตามข้อกล่าวหา หรือจับกุมได้ขณะส่งมอบเงินที่อ้างว่าเรียกรับ
จึงเป็นกรณีที่ยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าเงินที่ตำรวจยึดไว้เป็นของ กลางเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดหรือไม
จึงไม่ใช่เหตุชึ่งหน้าที่จะจับกุมและตรวจค้นโดยไม่ต้องมีหมายค้นและหมายจับจับจากศาลได้โดยชอบ
สังคมยังสับสนกับอำนาจตำรวจ ที่เป็นข่าวเกี่ยวกับการปราบปราบการทุจริตตามข่าวในปัจจุบัน ว่ามีอำนาจสอบสวนเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157 หรือไม
จึงเป็นกรณีศึกษา
ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม