เพจเพนกวิ้น ได้โพสต์ข้อความระบุว่า
สวัสดีครับพี่น้องราษฎร วันนี้ผมถูกเบิกตัวจากเรือนจำมาที่ศาลอาญารัชดา เพื่อฟังการสืบพยานโจทก์คดีการชุมนุมของกลุ่มม็อบเฟสเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ในคดีนี้ผมถูกฟ้องว่าทำผิดมาตรา 112 เพราะปราศรัยเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในหลายประเด็น เช่น กรณีการเสด็จไปประทับที่ประเทศเยอรมันและการใช้พระราชอำนาจนอกราชอาณาจักร ซึ่งทางอัยการกล่าวหาว่าเป็นการบิดเบือน ดูหมิ่น และจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมและทีมทนายจึงเตรียมการเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมปราศรัยเป็นความจริง และได้ยื่นเรื่องให้ศาลออกหมายเรียกพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตารางการเดินทางเข้าออกประเทศไทยและประเทศเยอรมันของในหลวงรัชกาลที่ 10 และข้อมูลที่ ส.ส.พรรคกรีนของเยอรมันได้เคยอภิปรายในสภาของเยอรมันว่าด้วยการใช้พระราชอำนาจนอกประเทศ
น่าผิดหวังมากที่ศาลซึ่งควรเป็นที่สถิตของความยุติธรรมและความจริงกลับไม่ยอมออกหมายเรียกพยานหลักฐานเหล่านี้ให้ โดยให้เหตุผลว่า “ไม่เกี่ยวข้องกับคดีความ” ทั้งที่ผมถูกกล่าวหาว่าบิดเบือน ดูหมิ่น จาบจ้วง แต่ผมยืนยันว่าผมพูดความจริงเพื่อประโยชน์ของประชาชน แล้วการหาหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องที่ผมถูกกล่าวหาจะไม่เกี่ยวกับคดีความได้อย่างไร
ตลอดการดำเนินคดีนี้ ผมเหมือนถูกมัดมือชกตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นการคุมขังไว้ก่อนโดยยังไม่มีความผิด การไม่มีโอกาสได้ปรึกษาทนายและหาข้อมูลมาสู้คดี ทั้งยังไม่ได้รับการอำนวยความยุติธรรมจากศาลอีก ก็เหมือนถูกตัดสินให้ผิดตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องพิสูจน์อะไร
กระบวนการแบบนี้อาจเรียกว่ากระบวนการยุติธรรมได้ไม่เต็มปาก แต่เราก็ยังจำต้องสู้เพื่อเอาความจริงออกมาเปิดเผยให้ทุกคนได้รับรู้ว่าการไปอยู่ที่เยอรมันและการใช้อำนาจนอกราชอาณาจักรนั้นจริงหรือไม่ หวังว่าศาลจะเปลี่ยนใจมาร่วมหาความจริงไปกับเราด้วยการนำออกหมายเรียกพยานให้ แต่ถ้าศาลยังยืนยันไม่ยอมออกหมายเรียกก็อาจต้องขอแรงคนที่อยู่ข้างนอกช่วยกันรวบรวมหลักฐานมาให้ผมได้พิสูจน์ความจริงในคดีนี้ต่อไป !!!
อย่างไรก็ดี การที่เพนกวิ้น โดนข้อหา ม.112 หรือข้อหาอื่นใด มาแก้ข้อกล่าวหานั้น เป็นหน้าที่ของจำเลย จะต้องนพหลักฐานมาพิสูจน์ให้ได้ว่า คำพูดของเขานั้นเป็นเรื่องจริง มิใช่เป็นหน้าที่ของศาล และศาลไม่มีอำนาจที่จะเรียกเอกสารอื่นใด ที่ไม่เกี่ยวกับคดี
ทำให้จนถึงขณะนี้ เพรนกวิ้นยังไม่มีหลักฐานมายืนยันคำพูดของตนเอง ที่ดูหมิ่นสถาบันฯ