ผลของพยานกลับคำให้การต่อสื่อ”ในคดี”นายบอส”
หลังจากอัยการสั่งไม่ฟ้องไปแล้ว
__________\\\\\\\\\\\\______________
เป็นพยานหลักฐานที่จะใช้เป็นการดำเนินคดีใหม่นั้น กฏหมายไม่เปิดช่องให้ทำได้ ต้องดำเนินคดีกับพยานให้รับโทษเสียก่อน
โดย ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม
หลังจากที่ สำนักงานอัยการสูงสุด “มีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด”สังคมได้
เคลือบแคลงสงสัยว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” ข่าวนี้ดังไปทั่วโลกเป็นเหตุ
ต่างประเทศนั้งหัวเราะ ข้าราชการไทยมีแต่ที่จะจ้องจับผิดกันเองเพื่อ
ความดังและต้องการออกสื่อ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายในระบบ
ของกฏหมายบ้านเรา
อย่างกรณี พันตำรวจตรีธนสิทธิ แตงจั่น ผู้ตรวจสอบความเร็วของรถยนต์
ให้การยืนยันว่า “ความเร็วของรถยนต์”นายบ๊อส”ขณะขับเป็นเหตุให้ตำรวจชึ่งเป็นผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น ให้การตามหลักวิชาการว่าความเร็วนั้น คำนวนได้ 177 กิโลเมตรต่อหนึ่งชั่วโมง
หลักจากนั้นก็มาให้การใหม่ว่า คำนวนผิด แท้จริงแล้วความเร็วไม่เกินกว่ากฏหมายกำหนด อันนี้ตำรวจก็ไม่ได้เชื่อถือพยานปากนี้เท่าควร ก็พยายามหาพยาน หลักฐานคนกลาง ก็สอดคล้องต้องกัน จึงทำให้พยานปาก พันตำรวจตรีธนสิทธิ แตงจั่นมีน้ำหนักรับฟ้องประกอบเท่านั้น แต่ก็ยังชื่อถือไม่ได้
ทั้งนี้หลังจากคดี”นายบอส”ตกเป็นข่าว พยาน ปากนี้ไปออกสื่อและไปให้การต่อหน่าวยงานต่างๆว่า ความเร็วคดี”นายบอส”นั้นแท้จริงแล้ว
ความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อหนึ่งชั่วโมง ที่ให้การเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวนไปว่า”ความเร็วที่รถยนต์”นายบ๊อส” ขับขี่นั้น “ไม่เกินกว่ากฏหมายกำหนด” นั้นเพราะเกิดจาก”ความสับสน ” นั้น พยานปากนี้มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกา วินิจฉัยว่า เชื่อถือไม่ได้ “ให้การกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องกับรอย” และยังให้การ”ความแตกต่างกับพยานอื่นเป็นข้อพิรุธ”นาย”บอส”ที่ตกเป็นข่าว ก็ให้การปฏิเสธตลอดมา ย่อมมีเหตุสงสัตามสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสองคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 238/2536
แม้ตำรวจจะไม่ได้แจ้งข้อหา ตำรวจและอัยการสูงสุดมีอำนาจตามกฏหมายใด ที่จะสั่งมห้ดำเนินคดี “กับ “นายบอส” ตามกระแสสังคมและความรู้สึกของท่านที่บริโภคข่าวอันนี้เป็นอันตรายต่อกระบวนการยุติธรรม ถ้ากฏหมายไม่เป็นกฏหมายความศักดิ์สิทธิของกฏหมาย
ตกอยู่ในความรู้สึกของของมวลชนในการกดดัน
ตามความรู้สึกของประชาชนนั้น “ยอมทำไม่ได้ ตำรวจและอัยการย่อมไม่มีอำนาจดำเนินคดีกับ “นายบอส” ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ให้เป็นแนวทางไว้ตอนหนึ่งว่า ” แม้พนักงานสอบสวนจะเคยมีความเห็นว่า ไม่ควรดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาใดข้อหาหนึ่งและควรสั่งฟ้องอีกข้อหาหนึ่ง แต่ความเห็นของพนักงานสอบสวนยังไม่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี เมื่อสำนักงานอัยการสูงสุด มีความเห็นเด็ดขาดไม่ฟ้อง
ทุกข้อหาห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันนั้นอีก และก็ไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ด้วย ไปตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8481/2544
หากพยานที่กลับคำให้การต่อสื่อนั่น ในขณะเกิดเหตุท่านเป็นตำรวจ และในขณะกลับคำมห้การครั้งสุดท่าน เป็นผู้แทนราษฎร์ หาก เห็น ตำรวจและอัยการปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ทำไม่ถึงไม่ดำเนินคดีผู้เกี่ยวต่อศาล เพื่อเอาผลคำพิพากษา “มารื้อฟื้นคดีใหม่ ” ที่ท่านให้สัมภาษต่อสือมวลชนนั้น “ต้องมีกฏหมายรองรับ หากไม่มีกฏหมายรอง “ก็ไม่ตัดสิทธิ” ของสิทธิพลเมือง ที่จะกล่าวโทษท่านได