เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคามและรองหัวหน้าพรรค พท. แถลงกรณีสภาล่ม 2 ครั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าสาเหตุที่ทำให้สภาล่มตนเคยวิเคราะห์สถานการณ์ไว้แล้วว่าเกิดจากปัญหาเสียงปริ่มน้ำและกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ออกไปอีก 21 เสียง ทั้งนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำสภาล่มทั้งหมด 16 ครั้ง ถือว่าล่มมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ปัญหาที่สภาล่มซ้ำซาก ล่มแล้วล่มอีกเกิดจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เป็นแกนนำรัฐบาลวันนี้มีไม่ถึง 100 เสียง เพราะแยกไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย 21 เสียง และพรรคเศรษฐกิจไทยก็ไม่เข้าร่วมประชุม ไม่ร่วมโหวตเป็นองค์ประชุมให้ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สภาล่ม ถือเป็นเรื่องน่าอับอายที่สภาล่มซ้ำซาก ล่มทุกอาทิตย์ที่มีการประชุมกัน ตอนนี้เรือเหล็กของ พล.อ.ประยุทธ์ มีทั้งหมด 245 เสียง ถามว่าทำไมสภาถึงล่มง่ายนัก ล่มได้ตลอดเวลา เนื่องจากปัจจุบันมีเสียง ส.ส.ทั้งหมด 473 เสียง ครึ่งหนึ่งคือ 237 เสียง เรือเหล็กลุงตู่มี 245 เสียง เมื่อหักเสียงเกินกึ่งหนึ่งและหักเสียงประธานสภาและรองประธานสภาอีก 3 เสียง เท่ากับรัฐบาลมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งเพียง 5 เสียง ซึ่งทั้งหมดนั้นส่วนใหญ่เป็นรัฐมนตรี มีภารกิจ มีหน้าที่ที่ต้องไปปฏิบัติงาน ดังนั้น ถ้านับองค์ประชุมเมื่อไหร่ก็ล่มเมื่อนั้น เพราะไม่ครบตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สภาล่ม
“พล.อ.ประยุทธ์มีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงปิดสมัยประชุมตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. แต่นายกฯ ประกาศแล้วว่าไม่ปรับ และไม่เอากลุ่ม ร.อ.ธรรมนัสเข้าร่วมด้วย ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ต้องชิงยุบสภาก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม เพราะเป็นสมัยประชุมสภาที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 151 อาการแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมตายกลางสภาแน่ นี่คือสถานการณ์ทางการเมือง ทางเลือกของ พล.อ.ประยุทธ์คือจะต้องยุบสภาก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม” นายยุทธพงศ์กล่าว
นายยุทธพงศ์กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์รู้อยู่แล้วว่าตัวเองจะไปไม่รอด จึงทิ้งทวนเมกะโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ 4 แสนล้าน โดยในการประชุม ครม. 8 กุมภาพันธ์นี้ จะมีวาระขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยจะขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไป 40 ปีให้กับบีทีเอส มูลค่า 4 แสนล้าน เพื่อให้ ครม.อนุมัติในช่วงที่กำลังชุลมุน เรื่องนี้มีความผิดปกติมากเพราะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในเดือนพฤษภาคม ถามว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผูกพันอนาคตคนกรุงเทพฯ ออกไปอีก 40 ปีข้างหน้า ทำไมไม่รอให้ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่เข้ามาตัดสินใจ แบบนี้เรียกว่าทิ้งทวนหรือไม่ก่อนหมดวาระ เพราะตรงนี้เป็นผลประโยชน์มหาศาล
นายยุทธพงศ์กล่าวว่า สำหรับความไม่โปร่งใสในการต่อขยายสัญญาสัมปทานออกไปอีก 40 ปีนั้น ในเส้นทางหลักของบีทีเอสจะหมดสัญญาในปี 2572 ถามว่าแล้วจะเร่งรีบต่อสัญญาไปทำไม ขณะที่ กทม.จะขยายสัญญาสัมปทานโดยที่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในส่วนต่อขยายเขียวเหนือและเขียวใต้ของ รฟม. โดย กทม.ควรชำระหนี้ให้ รฟม.เรียบร้อยก่อน เพราะส่วนต่อขยายเขียวเหนือและเขียวใต้ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟม. กทม.ยังไม่ได้รับโอน แล้วถามว่า กทม.จะยกส่วนนี้ไปให้บีทีเอสได้อย่างไร ผิดกฎหมายชัด และหาก กทม.บอกว่าตัวเองเป็นหนี้เพราะเปิดให้นั่งฟรีตั้งแต่ปี’60 ไม่อยากให้บริการส่วนต่อขยายเขียวเหนือและเขียวใต้แล้วก็ควรเสนอ ครม.ให้ทบทวนมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 และให้ รฟม.ไปดำเนินการเองเพราะเขาเป็นเจ้าของ การจะโอนกรรมสิทธิ์มาโดยไม่จ่ายเงินนั่นทำได้หรือ หากตัวเองไม่อยากทำหรือเป็นหนี้ก็โอนกลับไปให้ รฟม.ดำเนินการ และหากบีทีเอสอยากต่อสัญญาในเส้นทางหลักต้องแจ้ง กทม.ไม่น้อยกว่าสามปีและไม่เกินห้าปี ซึ่งแจ้งได้ตั้งแต่ช่วงปี’68 แต่ตอนนี้เพิ่งปี’65 ยังไม่ถึงเวลาที่บีทีเอสต้องแจ้งต่อสัญญาสัมปทาน
นายยุทธพงศ์กล่าวอีกว่า และที่ กทม.บอกมีภาระหนี้จากการจ้างเอกชนมาติดตั้งระบบการเดินรถและว่าจ้างให้เอกชนวิ่งรถในส่วนต่อขยายเขียวเหนือและเขียวใต้ซึ่งทำตั้งแต่ปี’59 ควรตรวจสอบว่าสัญญาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ เพราะไม่มีการประกวดราคา ยกให้บีทีเอสวิ่งรถเลย หนี้ถูกกฎหมายหรือไม่ เรื่องอะไรที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ไปสร้างหนี้ขึ้นมาเป็นหมื่นล้าน ปล่อยให้ประชาชนนั่งฟรี ตนจึงสงสัยในเรื่องความโปร่งใส เป็นการจัดฉากสร้างหนี้เพื่อให้ ครม.ต่อขยายสัญญาสัมปทานหรือไม่ ทั้งนี้ หนี้ก้อนแรกคืองานเดินรถไฟฟ้าและเครื่องกล 2 หมื่นล้านบาท หนี้ก้อนที่สองอีก 1 หมื่นล้าน เกิดจากผู้ว่าฯอัศวินให้คนนั่งฟรีตั้งแต่เปิดมาปี’60 จึงเป็นสาเหตุที่จะยกสัมปทานให้เขา
“เรื่องนี้มีผลประโยชน์ก้อนใหญ่โดยกระทรวงมหาดไทยเสนอต่อขยายสัมปทานให้บีทีเอสตั้งแต่ปี 2572 ไปจบที่ปี 2602 กรณีนี้ต้องมีการศึกษาว่าถ้าให้เอกชนดำเนินการ หรือเอากลับมาเป็นของรัฐดำเนินการเอง ตัวเลขกำไรขาดทุนแบบไหนจะดีกว่ากัน แบบไหนประชาชนและประเทศชาติได้ประโยชน์มากกว่ากัน มีตัวเลขที่กระทรวงคมนาคมไปศึกษามา พบว่าหาก กทม.ดำเนินการเองหลังหมดปี’72 ไม่ต่อให้บีทีเอส ภาครัฐจะมีกระแสเงินสดสุทธิ 4.67 แสนล้านบาท ถ้าเอกชนดำเนินการจะมีกระแสเงินสดสุทธิแค่ 3.26 หมื่นล้านบาท เท่ากับรัฐดำเนินการเอง มีกระแสเงินสดสุทธิมากกว่าถึง 4.35 แสนล้านบาท” นายยุทธพงศ์กล่าว
นายยุทธพงศ์กล่าวอีกว่า มีตัวละครสำคัญไปเจรจาสายสีเขียวคือ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ โดยเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2562 มีคำสั่ง คสช.ที่ 3/2562 แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว มี ดร.เอ้ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ จากนั้นวันที่ 5 มิถุนายน 2562 มีการแต่งตั้ง ดร.เอ้ เป็นประธานคณะกรรมการเจรจาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว และเห็นชอบให้ต่อสัมปทานสายสีเขียวออกไปอีก 40 ปี ทั้งที่คนค้านเต็มบ้านเต็มเมือง ถามว่า ดร.เอ้ สนิทแนบแน่นกับใคร ถ้าไปขึ้นรถไฟฟ้าทุกสถานีก็จะมีรูปโฆษณา ดร.เอ้ ทุกสถานี รวม 450 ป้าย แสดงให้เห็นว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกันอยู่หรือเปล่า จ่ายเงินกันหรือไม่ เอาเงินที่ไหนมาจ่าย ก็จะเกี่ยวพันกันกับบัญชีทรัพย์สินของ ดร.เอ้อีก ดังนั้น ในวันที่ 8 ก.พ.นี้ พรรคร่วมรัฐบาลจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนหรือไม่ พรรค ปชป.จะเห็นชอบให้ผ่านสัญญาสัมปทานสายสีเขียวออกไปอีก 40 ปีหรือไม่ เพราะ ดร.เอ้ เป็นตัวแทนสมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรค ปชป. แล้วทำไม พล.อ.ประยุทธ์ ถึงต้องทิ้งทวนโครงการต่อขยายสัญญาสัมปทานสายสีเขียวออกไปอีกในช่วงที่กำลังจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หากต่อสัญญาสัมปทาน ค่าโดยสารไฟฟ้าจะขึ้นเป็น 65 บาท ผูกพันไปถึง 40 ปีข้างหน้า และต้องถามหาจุดยืนของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่คัดค้านเรื่องนี้มาโดยตลอด เพราะผิดกฎหมายหนี้ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ทำค่าโดยสารแพงเกินจริง เป็นการผูกขาดตัดตอนเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายเดียวโดยที่ไม่มีการแข่งขัน และสัญญายังเหลือเวลาไปถึงปี 2572 ไม่มีอะไรต้องเร่งด่วน ถามว่าหมูแพง วัวตาย ชาวบ้านไม่มีจะกิน ทำไมไม่เร่งด่วนไปช่วย แล้วต่อสัมปทานรถไฟฟ้าด่วนอย่างไร เรียกทิ้งทวนหรือไม่ ทั้งนี้ พรรค พท.เตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ในเรื่องนี้ ข้อมูลพร้อมอยู่แล้ว ชัดเจนมาก ตนคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นชนวนความขัดแย้งทำให้รัฐบาลพัง หากคุณไปต่อสัญญาให้เขาอีก 40 ปี ไม่มีทางที่ค่าโดยสารรถไฟฟ้าจะถูกลงได้ หากปี 2572 รถไฟฟ้ากลับมาเป็นของรัฐและผู้ว่าฯ กทม.คนต่อไปให้สัมปทานกลับมาเป็นของ รฟม.ก็ไม่ต้องเสียค่าแรกเข้า บัตรใบเดียวก็ไปได้ทุกสาย ค่ารถไฟฟ้าจะถูกลงอย่างแน่นอน ตอนนี้คนไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์แล้ว จะมาทิ้งทวนเพื่อเป็นภาระคนกรุงเทพฯอีก