24 มิ.ย.62 – ที่หอประชุมใหญ่ทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว. ยื่นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบคุณสมบัติ 21 ส.ว. อาจเข้าข่ายถือหุ้นสื่อว่า การร้องเรียน หรือมีข้อสงสัยว่ามีการกระทำใด ถือเป็นเรื่อง ทั้งนี้ ก่อนร้องเรียนควรตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดเจน และเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความถูกต้องในทางการเมือง แต่ถ้าเป็นเรื่องเท็จ เป็นการดิสเครดิตทางการเมือง สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้น คนร้องเรียนต้องรับผิดชอบ
“ยืนยัน ก่อนผมเข้ารับตำแหน่งเป็น ส.ว. มีการตรวจสอบคุณสมบัติตัวเองครบถ้วน ไม่มีปัญหา การถอนหุ้น การลาออกจากกรรมบริษัท คุณสมบัติ เพราะเป็นนักกฎหมาย มีการตรวจสอบอยู่แล้ว สิ่งที่นายเรืองไกร ไปร้องในส่วนของผมเป็นความเท็จ เพราะผมมีหลักฐาน พยาน ข้อมูล ข้อเท็จจริงครบถ้วน ซึ่งตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2526 มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง ไม่มีชื่อผมแล้ว ถ้ามีการนำชื่อผมไปกล่าวเท็จ หรือร้องเรียน ผมไม่ปล่อยให้ลอยนวลแน่นอน โดยจะดำเนินการฟ้องกลับทั้งทางคดีแพ่ง และอาญา อย่างถึงที่สุด เพื่อให้เป็นตัวอย่าง ไม่ใช่นึกอยากสนุก ลุกขึ้นมาร้องรัยนอะไร กับใครก็ได้ ทำให้คนอื่นเสียหาย ทั้งที่ตัวเองไม่รับผิดชอบอะไร ส่วนจะเป็นวัน เวลาใด จะพิจารณาอีกครั้ง”นายวันชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีการร้องเรียนมาก เป็นเรื่องบริคณห์สนธิ เช่น เรื่องสื่อสิ่งพิมพ์ นายวันชัย กล่าวว่า ในฐานะนักกฎหมาย เรื่องนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ขอก้าวล่วง แต่ในความเห็นส่วนตัว รัฐธรรมนูญ กำหนดไว้ว่า เป็นเจ้าของ หรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่ออื่นๆ แปลว่า เป็นเจ้าของ และถือหุ้นในหนังสือพิมพ์ หมายความว่า มีหนังสือพิม์ ผลิตหนังสือพิมพ์ ออกจำหน่ายจริง มีสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ที่ดำเนินการจริง ดังนั้นเป้าหมายของรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องการเอาความเป็นสื่อ เจ้าของกิจการ ผู้ประกอบการ มาครอบงำทางการเมือง ใช้อิทธิพลความเป็นสื่อสร้างตัวเองเล่นงานคนอื่น แปลว่ากำลังเอาความเป็นสื่อต่างๆ ที่ตัวเองมีอิทธิพลเหนือนั้น ครอบงำคนอื่นๆ รวมทั้งความรู้สึก ความคิดของประชาชน ซึ่งเป็นเจตนาของรัฐธรรมนูญ แต่มีถ้ามีเพียงบริคณห์สนธิแล้วจดไว้ ทั้งที่ทั้งชีวิตไม่เคยประกอบกิจการ หนังสือพิมพ์สักฉบับไม่เคยทำ แล้วจะไปครอบงำอะไร ฉะนั้น ความเห็นส่วนตัว เชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญ นำดูข้อเท็จจริงนี้ มาประกอบการพิจารณา และเมื่อมีการวินิจฉัยแล้ว เชื่อว่าจะผูกพันทุกองค์กร รวมทั้งศาลที่มีคำพิพากษาด้วย จึงไม่อย่างให้ ส.ส. และส.ว. ตื่นตระหนก เพราะข้อเท็จจริงของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับ ส.ส. และส.ว. ที่กำลังถูกร้อง เป็นคนละประเด็น และคนละข้อเท็จจริง เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้
เมื่อถามว่า หากฟ้องร้องกลับนายเรืองไกร จะฟ้องร้องคนเดียว หรือร่วมกับเพื่อ ส.ว. ท่านอื่น นายวันชัย กล่าวว่า มีเพื่อน ส.ว. หลายคนได้หารือมา และบางคนมีการตั้งกองทุนให้ด้วย ซึ่งคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่มองถึงความถูกต้อง หรือไม่ได้คิดอาฆาตมาดร้ายใดๆ โดยอยากให้คนร้องเรียน ควรมีการตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความระมัดระวังมากขึ้น ส่วนที่หลายพรรคการเมือง เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นการเมืองนั้น คิดว่า เป็นเรื่องทางการเมือง แต่ในทางการเมืองต้องมีข้อยุติ เพื่อสร้างบรรทัดฐาน การที่เรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ และมีการวินิจฉัยออกมา ถือเป็นเรื่องดี ไม่คิดว่าเกิดผลเสียหายกับใคร ถือว่าทุกฝ่ายต้องการบรรทัดฐานทางการเมือง
เมื่อถามว่า จะต้องเป็นบรรทัดฐานเดียวกับนายธนาธร หรือไม่ นายวันชัย กล่าวว่า ถ้ามีพฤติการณ์เหมือนนายธนาธร จริง เช่น มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่เท่านั้น และอีก 2-3 เดือนมาจดทะเบียนจริง แต่ปรากฏว่ากรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าข้อเท็จจริงของ ส.ว. เหมือนกับนายธนาธร เชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน เพราะการที่ศาลสั่งหยุด แสดงว่ามีข้อเท็จจริงชัดเจน ส่วนท่านอื่น ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายอาจจะต่างกับนายธนาธร ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการร้องเรียนเรื่องนี้จริง คณะทำงานของ ส.ว. จะมีการพิจารณาร่วมกัน เพื่อประเมินให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
Cr.thaipost
สำนักข่าววิหคนิวส์