ข่าวประจำวัน » ข่าวเด่น » #เสื้อแดงแฉกันเละ ! จตุพร แฉ พฤติกรรม เจ๊

#เสื้อแดงแฉกันเละ ! จตุพร แฉ พฤติกรรม เจ๊

11 December 2020
691   0

   11 ธ.ค.63 – นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ในหัวข้อ “ระบอบติ่ง กับตำแหน่งประธาน นปช.ตอน 2” ว่า หลักฐานที่พรรคเพื่อไทยนำมาแสดงว่า นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ กลุ่มเชียงใหม่คุณธรรมไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ คือ รูปถ่ายกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า วันเปิดตัวสาขาพรรคที่เชียงใหม่ โดยนายบุญเลิศไปร่วมยินดีในฐานะมารยาทของ นายก อบจ.เชียงใหม่ตามปกติ

ถ้านำรูปถ่ายมากล่าวหากันแล้ว ตนมีตัวอย่างหนึ่งเมื่อช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปตรวจงานที่ จ.สุรินทร์ โดย ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ไปต้อนรับในฐานะ ส.ส. ยังถูกกล่าวหาว่า เขาทรยศ ทั้งที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากการต้อนรับคนเห็นต่างในการทำหน้าที่ถือเป็นเรื่องปกติทางการเมือง

ส่วน ร.อ.ธรรมนัส นั้น เป็นอดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยปี 2557 อันดับที่ 55 ก็มีภาพถ่ายกับพรรคเพื่อไทยแทบทุกคน ซึ่งช่วงนั้นพรรคยกย่องว่า เขาเป็นคนดี แล้วกล่าวหาเป็นคนไม่ดีเมื่อไปอยู่กับพลังประชารัฐ ซึ่งวิธีการยัดเหยียดแบบนี้มันง่ายกับระบอบติ่งเพื่อไทยอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ยังมีอีกตัวอย่างคือ อดีตนายก อบจ.นครพนม ช่วงสมัคร ส.ส.มีชื่อและประกาศตัวในนามพลังประชารัฐชัดเจน ก่อนมาสมัครเลือกตั้ง อบจ.ประมาณ 3 วันได้ลาออกจากพลังประชารัฐย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทย ก็ถูกฟอกสียกย่องเป็นนักประชาธิปไตยอีกคน และทีมปราศรัยไปช่วยหาเสียงก็เป็นชุดเดียวที่มาถล่มนายบุญเลิศที่เชียงใหม่ แล้วอย่างนี้มาตรฐานอยู่ตรงไหน แต่ที่ตนรู้คือ ไม่มีมาตรฐานทางการเมืองเลย

“สิ่งนี้ ผมจึงแตกต่างจาก นปช.บางคนในพื้นที่เชียงใหม่ ถ้าคุณขับไล่ผมว่า ผมไปอยู่เผด็จการโดยมีหลักฐานชัดเจนปรากฎแล้ว ผมไม่ใช่คนหน้าด้าน แต่ผมยืนท่ามกลางความเจ็บปวดมากมาย ความจริงที่ผมอธิบายนั้น เป็นแค่เศษเสี้ยวของแต่ละเหตุการณ์”

นายจตุพร ย้ำว่า ตรรกะเช่นนี้พรรคเพื่อไทยชี้แจงไม่ได้เลย การกล่าวอ้างว่ามีระบบสรรหานั้น ตนไม่เชื่อ ถ้ามีการสรรหาอย่างเป็นระบบที่เชียงใหม่แล้ว ถ้าอ่านสำนวนตรวจสอบคดีบอส กระทิงแดง ของนายวิชา มหาคุณ เพียงไม่กี่หน้าก็เห็นตัวตนอยู่แล้ว แล้วพรรคเพื่อไทยละเลยเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร

รวมทั้ง กล่าวว่า ตลอดเวลาต่อสู้กับเรื่องอยุติธรรมที่มีอยู่เต็มไปหมด หากวันหนึ่งมาสงสัยในเรื่องความอยุติธรรมแล้ว พรรคยังกล้าเห็นด้วยอยู่หรือ อีกอย่างเสื้อแดงพังลงส่วนสำคัญมาจากพรรคไปจัดการขบวนการประชาชนแบบนักการเมือง แบบนักเลือกตั้ง ไม่ใช่แบบนักต่อสู้ จึงทำให้ปี 2557 แพ้ราบคาบ

“พวกคุณ (เสื้อแดงที่แถลงข่าวกล่าวหา) จะอธิบายอย่างไรก็ได้ แต่ผมไม่ได้เป็นตัวประกันกับพรรคการเมือง และไม่เคยมีเงื่อนไขกับพรรคใดๆทั้งสิ้น วันนี้ผมยืนด้วยความยากลำบาก ผมมีโอกาสเหลือเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากขยับไม่ถูกจังหวะจะไม่มีโอกาสอีกเลย เพราะทุกคดีมีเงื่อนไขกำหนดหมด”

อีกอย่าง ตนแสดงจุดยืนทางการเมือง ไม่เคยถูกคนหนุ่มสาวตำหนิ แต่ถูกพวกระบอบติ่งทั้งหลายด่าทอให้เสียหาย ทั้งที่ตนมีโอกาสครั้งเดียว ต้องต่อสู้ตอนไหนและเมื่อไร อีกทั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในไม่กี่วันข้างหน้าก็ได้รับอิสรภาพแล้ว แต่ออกมาต้องติดกำไร ไม่สามารถทำอะไรได้อีกหลายเดือน ส่วนคนอื่นๆในคดีพัทยา คงต้องรอหลังจากนี้อีกไม่นาน

ดังนั้น การต่อสู้แต่ละอย่างไม่ได้อยู่ที่ตนคนเดียว เมื่อปี 2557 ในช่วงเป็นต่อทางการเมืองก็ถูกผลักใสไปอยู่ปลายนา แต่วันตกเป็นรองกลับกวักมือเรียก และตนรู้ทั้งรู้ว่ารบยากที่สุดเพราะวันที่รบไม่เคยได้เปรียบสักวันเดียวเลย เสียเปรียบมาตลอด

“ที่พูดเช่นนี้ เพื่อจะบอกว่า การมาเป็นติ่งให้นักการเมืองนักเลือกตั้ง ซึ่งคุณยังไม่เข็ดหลาบว่าปี 57 ถูกยึดอำนาจเพราะแบบนี้ แล้ววันนี้แยกถูกผิดไม่ได้หรือ ไม่ไปดูสำนวนคดีบอสหรือ และรับได้กับความอยุติธรรมหรือ แล้วผมไม่เห็นด้วยกับคดีบอส ต้องไปอยู่ฝ่ายเผด็จการหรือ นายแก้ว”

พร้อม ย้ำว่า ถ้าเห็นด้วยกับแนวทางคดีบอสที่ทำลายกระบวนการยุติธรรมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็แสดงถึงคุกมีไว้ขังเฉพาะคนจน แปลว่าตนเป็นนักประชาธิปไตยหรือไง พรรคเพื่อไทยเอาใครก็ได้และตนต้องสนับสนุนหรือ

“หรือพรรคเพื่อไทยทำอะไรกับใครก็ได้ ผมต้องสนับสนุนหรือ ผมมาอยู่ช่วงปลายของชีวิตแล้ว รู้ผิดชอบชั่วดี เห็นอะไรมามากกว่าที่พูดเยอะ เพียงแต่เลือกพูดโดยการรักษาน้ำใจ”

นายจตุพร กล่าวถึง นปช.หลังปี 2553 ที่อ่อนแอลงอย่างมากว่า เกิดจากนักการเมืองไปทำลายการเป็นนักต่อสู้เสียหมด แล้วกลายมาเป็นนักเลือกตั้ง ไม่คิดต้องการจะสู้แล้ว เพื่อให้ตัวเองดูดี แล้วยัดคนอื่นเป็นคนร้าย ส่วนตนก็อยู่แบบตนเช่นนี้ตามเดิม ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด

อีกอย่าง จากการยึดอำนาจที่ผ่านมานั้น จะขยับอะไรไม่เกิน 3 นาทีทหารถึงตัว เชิญไปปรับทัศนคติซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถูกถอนประกัน แล้วไปพิพากษาคดีหมิ่นซึ่งศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ยกฟ้อง แล้วศาลฎีกาสั่งจำคุก 1 ปีเศษ เพราะเป็นช่วงใกล้ตัดสินคดีอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ดังนั้น เราอยู่ในสถานการณ์นี้มาตลอด ขบวนการ นปช.ไม่มีวันเหมือนปี 2553 แล้ว วันนี้ทุกคนกระจัดกระจายและรู้ว่ามีโอกาสมีเพียงครั้งเดียว แล้วครั้งเดียวที่เหลือในชีวิตนั้น ตนต้องมาฟังคนที่ไม่มีจิตใจความเป็นธรรมหรืออย่างไร

“ถ้าผมออก (จากประธาน นปช.) ซึ่งผมอยากจะออกอยู่แล้ว แต่คิดว่าขบวนการต่อสู้หลังปี 53 ส่วนหนึ่งหลบลี้หนีภัยและส่วนหนึ่งก็ถูกคุมขัง วันนั้นผมไม่ถูกขังคนเดียว เพราะเป็น ส.ส. เราได้เดินสายร่วมกับ พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย เดินสายในช่วงกระแสเสื้อแดงต่ำสุด ไปทุกที่ ช่วงนั้นมีการยิงแกนนำในที่ต่างๆ จะตายวันไหนไม่รู้”

ในสถานการณ์เปราะบางนี้ทุกคนเข้าใจว่า จะหาจุดลงกันอย่างไร จะไปแสดงตนตามแต่บทบาทของแต่ละคน โดยตำแหน่งหน้าที่ประธาน นปช.ไม่มีอะไร ตนทำหน้าที่เพียงแค่ประสานงานให้กับเพื่อนที่อยู่ในคุก ซึ่งลำบากอยู่แล้ว และต้องทำให้ได้อิสรภาพโดยเร็ว

“ถ้าผมผลีผลามออกไปก็ไม่มีโอกาสอีกเลย เพราะเรามีโอกาสแค่ครั้งเดียว แต่พวกคุณก็มาตราหน้าเพียงแค่ว่า พวกคุณไปช่วยพรรคเพื่อไทย ไปเลือกเอาใครที่ไหนมา ผมก็ไม่เห็นด้วย ส่วนคนเดิมตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน แล้วเพื่อไทย เขาซื่อสัตย์มาตลอด 20 ปีกลับถูกทิ้งเพื่อไปเอาคนอื่น แล้วอ้างภาพถ่ายแค่ภาพเดียว”

นายจตุพร กล่าวว่า ที่สำคัญที่สุด เมื่ออ้างมาตรฐานต้องจัดการเผด็จการให้เด็ดขาดแล้ว กรณีงูเห่านั้น พรรคอนาคตใหม่จัดการ ส.ส. สีนวล ที่เชียงใหม่ แต่พรรคเพื่อไทยไม่ยอมจัดการ ไม่ว่าจะเป็น กทม.หรือปทุมธานี ถามว่ามาตรฐานคืออะไร หรือไปเกี่ยวข้องเรื่องราวอะไรกับเขาอีก

ดังนั้น จะถามหามาตรฐานอะไร ที่ตนยกตัวอย่างนครพนมกับเชียงใหม่นั้น  โดยนครพนมลาออกจากพลังประชารัฐไม่เกิน 3 วันก็รับเข้าเพื่อไทย แต่เชียงใหม่ถูกถีบออกตั้งแต่พลังประชารัฐยังไม่ตั้ง แล้วต่อมาก็จับยัดให้เขาไปอยู่พลังประชารัฐ ทั้งที่เขาไม่ได้ไป

“ผมเห็นสถานการณ์อย่างนี้มาตลอดว่า เจ๊ชี้อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นผมจึงบอกว่า ยังไม่เข็ดอีกหรือ เพราะพังกับเจ๊ทุกครั้ง สุดซอย (พรบ.นิรโทษกรรม) ผมพบเจ๊ภายหลังในสถานที่เป็นที่ทำงานพรรคไทยรักษาชาติช่วงนั้น ก็มาร้องห่มร้องไห้กันไม่ใช่หรือ”

พร้อมย้ำว่า ความจริงไม่ควรจะมีปัญหาอะไรกันเลย ตอนที่เจ๊ถูกตัดสิทธิ์ พอมีสิทธิ์ขึ้นมาก็ให้ลูกน้องที่เป็น ส.ส.ไปลาออกโดยอ้างว่าขึ้นเครื่องบินไม่ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องหู ต้องมาให้นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ตั้งให้เป็นรองนายก อบจ. เขาก็ทำให้ทุกอย่าง ซึ่งตนก็งงว่า มันคืออะไรกัน

ดังนั้น ไม่เข็ดหลาบกันบ้างหรือ ตนจึงบอกว่าขบวนการประชาชนมันควรแข็งแรง นอกจากไม่ไว้ใจแล้ว กลับเอา ส.ส.ไปจัดแทนแกนนำ แล้วให้แกนนำไปสัมพันธ์ส่วนตัว ระบบพังหมด สิ่งนี้จึงเห็นว่า ในวันที่มีอำนาจจึงให้หมด กลไกรัฐในตำแหน่งต่างๆ รับไปจัดให้หมดตามที่คุณขอมา ส่วนฝ่ายร่วมสู้ต้องต่อแถว ถึงสถานการณ์ปี 2557 ใครมันจะมาร่วมสู้ด้วย

“สิ่งที่ต้องสื่อความกับพี่น้องทั้งหลาย รอให้ณัฐวุฒิออกมาก่อน และพ้นกำหนดการใส่กำไล ซึ่งสามารถพูดแสดงความเห็นได้แล้ว เราจะนัดพี่น้องกันว่า เราจะเอากันอย่างไร เพราะเรื่องราวมันคากันไว้มากมาย ผมไม่สนใจตำแหน่งแห่งหนอะไรเลยนะ”

ส่วนคำผกา (นักจัดรายการวอยซ์ทีวี) นั้น นายจตุพร กล่าวว่า คำผกาปรามาศตนมาก อยากบอกคุณคำผกาให้ไปดูรูปถ่าย ร.อ.ธรรมนัส ถ่ายกับเพื่อไทย ดูรูป ส.ส.สุรินทร์กับนายกรัฐมนตรีพิจารณาตัวอย่างนครพนมกับเชียงใหม่ ดูรูปชินวัตรใส่เสื้อเหลือง แล้วคอยว่ากัน แต่ตนจะบอกว่า ยังยืนหยัดอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย แต่ตนไม่ได้เป็นติ่งพรรคเพื่อไทย

รวมทั้ง กล่าวว่า การพูดของคุณคำผกานั้น เป็นเพียงแค่แสดงลีลา ตนอย่างจะเน้นบอกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้คือความอยุติธรรม ตนไม่เห็นด้วยกับพรรคการเมืองถ้าไม่รู้จักกับความยุติธรรม ที่ผ่านมาไม่ใช่หนแรกที่เห็นแตกต่างจากพรรคเพื่อไทย เพียงแต่ไม่ได้ไปไหน ตนยังยืนอยู่กับฝ่ายประชาธิปไตย และตนเห็นว่าบุญเลิศไม่ได้รับความยุติธรรม

“คุณคำผกา พูดเก่ง เอากันสักวันหรือไม่ มาคุยกัน นั่งสักถามกันเรื่องจุดยืนประชาธิปไตยกัน เอาคุณใบตองแห้งมาด้วย ผมจะได้ชี้แต่ละจุดให้ฟัง คุณจะไปการเมืองก็เรื่องของคุณ จะไปไทยรักษาชาติก็ไป จะเข้าเพื่อไทยก็ไป คุณน่าจะรู้จักผมดี จะมาพูด มาทำกับผมอย่างนี้ไม่ได้ ผมไม่สนใจนะ การแสดงจริตจะก้านทำเป็นพูดเคารพทุกอย่าง ถ้าจะไปก็ไม่ว่าอะไร”

นายจตุพร กล่าวย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมานั้น นักจักรายการทีวีไม่พูดถึงสักคำกับดีบอส กระทิงแดง และไม่พูดถึงการตัดสินใจแบบประชาธิปเจ๊กันในพรรค จนพังกันแบบนี้หรือ ดังนั้น ถ้าจุดยืนประชาธิปไตยแข็งแรงแล้ว นัดกันมาสักวัน ซึ่งตนมั่นใจคำผกา มาทดสอบการจะเป็นนักพูดในสภาครั้งหน้าด้วย