วุ่นแล้ว! ต้องมีคนส่อชวดเก้าอี้ รมต. “วัชระ” ส่งข้อมูลพร้อมหลักฐานเตือน ””นายกฯอุ๊งอิ๊ง” หวั่นซ้ำรอย ระบุ “เอกณัฐ” คดีไม่ถึงที่สุด ชี้ อัศจรรย์ใจแอบเป็นพยานช่วยให้ “ทักษิณ” พ้นคดี112 แถมคดี กปปส. ยังไม่สิ้นสุด ตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของสำนักงาน อสส.ส่วน “สันติ” ติดบ่วงทุจริตสอบรามคำแหง
เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 เวลา 10.30 น. นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ยื่นหนังสือขอแจ้งข้อมูลบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี ให้นายกรัฐมนตรีเพื่อประกอบการตัดสินใจ ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล โดยนายวัชระ กล่าวว่า
ตามที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ทำหนังสือถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ได้เสนอชื่อนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เนื่องจากไม่มีคดีความติดตัวแล้ว และพรรค พปชร.เสนอชื่อนายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีนั้น
การเสนอชื่อนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ของพรรค รทสช.และการเสนอชื่อนายสันติ พร้อมพัฒน์ ของพรรค พปชร.เป็นรัฐมนตรีเป็นสิทธิ์ของพรรคการเมือง แต่ตนในฐานะประชาชนผู้เสียภาษีขอส่งข้อมูลประกอบการตัดสินใจของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีดังนี้ 1.คดี กปปส. คดีหมายเลขดำ อ.247/2561 หมายเลขแดง อ.317/2564 ศาลอาญา ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ จำเลยที่ 9 จำคุก 1 ปี โดยรอลงอาญาและโทษปรับเงิน 13,333 บาท ได้ประกันตัว ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง ตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.) ถ้าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาแตกต่างกัน กล่าวคือคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โดยระเบียบดังกล่าว อัยการต้องมีคำสั่งฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาตัดสินชี้ขาด ดังนั้นคดีนี้จึงยังไม่ถึงที่สุดตามที่นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคกล่าวอ้าง
นายวัชระ กล่าวต่อว่า 2.คดีของนายทักษิณ ชินวัตร ในข้อกล่าวหาฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือมาตรา 112 และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยอัยการมีคำสั่งฟ้องเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 และเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ศาลประทับรับฟ้องไว้ตามหมายเลขคดีดำที่ อ.1860/2567 ปรากฏเรื่องอัศจรรย์ทางจริยธรรม ว่าก่อนที่อัยการสูงสุดจะมีคำสั่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาอ้างนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รทสช.เป็นพยานในชั้นอัยการ และนายเอกณัฐได้ไปให้การในสำนวนคดีนี้ว่า ที่นายทักษิณฯ พูดที่ประเทศเกาหลีใต้ ไม่เข้ามาตรา 112 เหตุใดนายเอกนัฏจึงไปเป็นพยานให้นายทักษิณทั้งที่เคยเป็นเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยโดยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป่านกหวีดประท้วงขับไล่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณมาตลอดชีวิต จนสมาชิก กปปส.ล้มตายและบาดเจ็บจำนวนมากแล้ว เหตุใดจึงไปเป็นพยานให้นายทักษิณในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอีก จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์อันเป็นคุณสมบัติของรัฐมนตรีหรือผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่
“ 3.ส่วนกรณีนายสันติ พร้อมพัฒน์ จากพรรค พปชร. ปรากฏข่าวว่าเคยถูกมหาวิทยาลัยรามคำแหงลงโทษลบชื่อออกจากทะเบียนนักศึกษา ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ 1170/2542 ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2542 เนื่องจากในการสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2541 หัวหน้าตึกสอบ PRA 201 รายงานว่าในการสอบกระบวนวิชา PY 103 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2542 คาบสอบที่ 1 ได้ตรวจพบว่านายสันติ รหัสประจำตัว 4106562624 ได้ให้บุคคลอื่นเข้าสอบแทนโดยการปลอมบัตรประจำตัวนักศึกษาและใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพของกรมการขนส่งทางบก และใช้เป็นหลักฐานในการเข้าสอบ ปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย จึงเป็นการฝ่าฝืนและผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงซึ่งขนาดการศึกษายังกระทำการทุจริต ดังนั้นการบริหารงานให้ประเทศชาติและประชาชนจึงเป็นเรื่องน่าสงสัยในความซื่อสัตย์สุจริตโดยพลัน ทั้งนี้ ผมถือว่าได้แจ้งให้ คุณอุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทราบล่วงหน้า ก่อนการประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีของท่านแล้ว” นายวัชระ กล่าว