วันนี้ (3 มิถุนายน 2567) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดาโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ตามที่นายศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ออกมากล่าวหา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการ สธ. ในลักษณะฟังความข้างเดียว จากกลุ่มองค์กรต่อต้านกัญชาเพื่อจะนำกัญชามาอยู่ในกลุ่มยาเสพติด ไม่ฟังความเห็นข้าราชการใน สธ.นั้น นายศุภชัยไม่ควรออกมาทำให้สังคมเข้าใจผิด เพราะความจริงนายสมศักดิ์รับฟังความเห็นของทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน
“เพราะการที่สังคมจะเดินได้ต้องฟังเสียงรอบด้านของประชาชน เรื่องการนำกัญชาไปจำหน่ายและใช้เพื่อการเศรษฐกิจและสันทนาการโดยไม่ถือเป็นยาเสพติดที่ดำเนินการกันมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว เรื่องนี้เป็นข้อขัดแย้งมาตลอด เนื่องจากมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ในสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่แล้วก็เห็นไม่ตรงกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นเจ้าของเรื่องนี้ พยายามจะออกกฎหมายมารองรับ แต่สุดท้ายกฎหมายไม่ผ่านสภา” น.ส.ตรีชฎากล่าว
โฆษก สธ.ฝ่ายการเมือง กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการ สธ.รับฟังความเห็นต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทั่งเห็นว่าการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดเหมือนเดิมมีน้ำหนักมากกว่า มีเสียงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก ซึ่งจะต้องดำเนินการไปตามขั้นตอนและกระบวนการ นอกเหนือไปจากมีข้อมูล ข้อเท็จจริงอย่างหนักแน่น เชื่อถือได้มารองรับแล้ว การพิจารณาของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่มีหลายหน่วยงานเป็นองค์ประกอบ
“ที่สำคัญ คือ รัฐมนตรีว่าการหลายกระทรวง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, กระทรวงมหาดไทย, การทรวงยุติธรรม, กระทรวงแรงงาน, กระทรวงศึกษาธิการ, การทรวงสาธารณสุข, กระทรวงอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีปลัดกระทรวงต่างๆ เลขาธิการ ป.ป.ส. เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม อัยการสูงสุด ผู้นำ 3 เหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีอีกหลายกรม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เลขาธิการและรองเลขาธิการ ป.ป.ส. ผู้ทรงคุณวุฒิ และฝ่ายเลขานุการ รวม 36 คน ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายดังกล่าวจะร่วมกันพิจารณาอย่างถี่ถ้วน รอบคอบทุกมิติ ทุกแง่ทุกมุม โดยคำนึงถึงประโยชน์และโทษกรณีการเปิดให้กัญชาถูกนำไปปลูก นำไปขายและเสพกันโดยไม่ถือว่าเป็นยาเสพอย่างไหนเกิดผลดีหรือผลเสียมากน้อยกว่ากัน” น.ส.ตรีชฎากล่าว
อย่างไรก็ตาม น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน นั่นคือ การระบุว่า “…รัฐบาลจะดำเนินแนวทางนโยบายการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ” ถือเป็นข้อผูกพันและผูกมัดรัฐบาลให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาเพื่อการแพทย์และสุขภาพเท่านั้น อันจะเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพราะกัญชามีประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยเมื่อนำมาใช้ทางการแพทย์อย่างถูกวิธี ซึ่งจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ได้หมายถึงการปล่อยให้ปลูกและซื้อขายกันโดยทั่วไปได้อย่างอิสระเสรีดังที่ทำกันมา ซึ่งจะเกิดผลกระทบในทางลบต่อสังคม องค์กรที่ไม่เห็นด้วยกับการปลดล็อกกัญชาออกจากกลุ่มยาเสพติดก็ได้ออกมาให้ข้อมูลและต่อต้านมาอย่างต่อเนื่อง
น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า นอกจากนี้ นายเศรษฐาเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก เทเลวิชั่น ที่ออกอากาศหลายประเทศทั่วโลก เคยสัมภาษณ์นายเศรษฐาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 ขณะไปเข้าร่วมประชุมสมัชชา สหประชาชาติที่ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยนายเศรษฐาให้คำมั่นว่า จะจำกัดการใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เท่านั้น และยังกล่าวด้วยว่า ภายในกรอบ 6 เดือน รัฐบาลจะพยายามแก้ไขนโยบายกัญชาและการแพร่ขยายของร้านที่ขายกัญชาเสรี กฎหมายจะถูกเขียนขึ้นใหม่
“จากนโยบายรัฐบาลและจุดยืนที่นายกฯเศรษฐาได้ประกาศไว้ทั้งต่อรัฐสภา ประชาชนคนไทย และชาวโลกที่ได้รับรู้เรื่องนี้ ถือเป็นสัญญาประชาชนที่พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องเคารพ การดำเนินการของรัฐมนตรีว่าการ สธ. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่จะดึงกัญชาไปอยู่ประเภทยาเสพติดและจัดระเบียบการกำกับดูแล ควบคุมกัญชาให้อยู่ในกรอบที่จะใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสุขภาพ ไม่ใช่เพื่อสันทนาการ และไม่ใช่เพื่อเศรษฐกิจ การค้าการขายที่เกิดกันอยู่โดยทั่วไป จึงไม่ได้คิดขึ้นเอง และไม่ได้ทำไปตามใจชอบ หากนายสมศักดิ์ไม่ทำเช่นนี้ ก็เท่ากับบริหารราชการ สธ.กรณีกัญชาขัดกับนโยบายรัฐบาล ซึ่งจะเกิดความเสียหายต่อรัฐบาลโดยภาพรวมที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ข้อกล่าวหาของนายศุภชัยไม่เพียงแต่จะผิดมารยาททางการเมือง ยังเป็นการสร้างเรื่อง สร้างประเด็นให้เกิดความสับสนในสังคม และจะนำมาซึ่งข้อขัดแย้งในหมู่ประชาชนโดยไม่จำเป็น” น.ส.ตรีชฎากล่าว