“ดร.จินตนันท์” บุตรสาวข้าหลวงคนแรกในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ โต้ทุกประเด็นข่าวลืองานพระบรมศพ ในหลวง ร.๙ แจงไม่มีการฝังบาตรแตก แต่เป็นหมุดไม้ถูกลงอักขระโดยพระวัดสุทัศน์ฯ เป็นพิธีมีมาแต่โบราณไม่ใช่จากหมอผี ซัดแปลกดีการมีอินเทอร์เน็ตไม่ได้ทำให้ฉลาดขึ้นเลย กลับยิ่งช่วยให้เผยแพร่ความเขลา ความหยาบคาย
.
วันที่ 6 ส.ค. 2564 ดร.จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเป็นบุตรสาวของท่านผู้หญิงพึงจิตต์ ศุภมิตร คุณข้าหลวงคนแรกในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทำให้ ดร.จินตนันท์ ได้ใกล้ชิดล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ตั้งแต่ยังเด็ก
.
โดย ดร.จินตนันท์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กโต้ข่าวลือ ที่กำลังเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์กรณีงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
.
ระบุว่า … ขอเล่าเรื่องจริงของงานพระบรมศพ สำหรับข่าวลือชิ้นใหม่
.
การฝังบาตรแตกเป็นการอวมงคล ไม่มีแน่ๆ 100%
.
คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ หรือ แก้วเก้า ศิลปินแห่งชาติ ท่านกรุณาอธิบายว่าบาตรแตก ใช้คู่กับสาแหรกขาด มันเป็นมูเตลู หรือการเล่นอาถรรพณ์ในสมัยโบราณ โดยมีวัตถุประสงค์คือถ้าจะทำให้บ้านไหนแตกแยก ทะเลาะวิวาท เดือดร้อนกันจนอยู่ไม่ติด ก็เอาของสองอย่างนี้ไปซุกไว้ในบริเวณเช่นใต้ถุนบ้าน แต่ไม่มีใครเขาเอาไปทำในพิธีหรืองานอะไรหรอก คนละเรื่องกันเลย
.
สรุปคือเป็นเรื่องของชาวบ้านที่ไม่มีความรู้เดาเอา ส่วนเรื่องจริงที่ทราบก็คือเป็นการปักหมุดไม้มงคล ในพิธีพราหมณ์ การปักหมุดเป็นการกำหนดตำแหน่งอ้างอิงในการวางผังเพื่อการก่อสร้างให้เป็นไปตามแนวคิดหลักของการออกแบบวางผัง และเพื่อบวงสรวงขออนุญาตเทพาอารักษ์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตย์อยู่บริเวณนั้นและเทวดา 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน ขออนุญาตสร้างเขาพระสุเมรุ เลียนแบบความเชื่อตามโบราณราชประเพณีของไทย เป็นคติความเชื่อเรื่องพระมหากษัตริย์ในสถานะเสมือนสมมติเทพ ตามระบอบเทวนิยม และออกแบบโดยใช้แนวคิดคติไตรภูมิตามคัมภีร์พุทธศาสนา
.
สิ่งที่คนงานคิดมโนว่าเป็นบาตรแตกฝังอักขระนั่น คือ หมุดที่ทำมาจากไม้พะยูง 8 หมุด เป็นหมุดรองและหมุดหลักทำมาจากไม้ทองหลาง รวม 9 หมุด ซึ่งบรรจุลงกล่องร่วมกับไม้สามเกลอขนาดเล็กที่ทำมาจากไม้สักสำหรับใช้ตอกหมุด โดยทั้งหมุดและไม้สามเกลอถูกลงอักขระทางพระจากวัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นพิธีปกติ มีมาแต่โบราณไม่ใช่จากหมอผี
.
ที่เขาบอกว่างานของพระบรมวงศานุวงศ์ที่ผ่านมาไม่มี เพราะนี่เป็นพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์ที่ถวายพระเกียรติสูงสุด พระเมรุมาศ เป็นประธานในมณฑลพิธี ออกแบบโดยยึดถือคติตามโบราณราชประเพณีรูปแบบเฉพาะสำหรับพระมหากษัตริย์ สิ่งก่อสร้างมีเครื่องยอดนับรวมได้ 9 ยอด ศึกษาและออกแบบตามหลักโบราณราชประเพณีการสร้างพระเมรุมาศของพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
.
พิธีก็เรียบๆ พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณอ่านโองการบวงสรวง จากนั้นประธานกับผู้ปักหมุดเดินไปประจำหลักหมุด 9 จุดหันหน้าเข้าหาพระบรมมหาราชวัง พอได้ฤกษ์ พราหมณ์จะเริ่มเป่าสังข์แตรให้สัญญาณปักหมุด โดยหลังจากปักหมุดลงลึกตามระดับที่กำหนดแล้ว ผู้ปักหมุดโปรยดอกไม้ที่บริเวณรอบจุดปักหมุด ถือเป็นอันเสร็จพิธี
.
และพอเสร็จงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ พอจะรื้อก็จะมีพิธีถอนออก งานพิธีเล็กเหล่านี้ไม่ต้องมีเจ้านายเสด็จฯ ยกให้เป็นหน้าที่ของพราหมณ์และผู้ที่ได้รับมอบหมายงานก่อสร้าง เช่นรองนายกรัฐมนตรี รมต.วัฒนธรรม ท่านองคมนตรี จิรายุ อิศรางกูรฯ ท่านกฤษณ์ กาญจนกุญชร ราชเลขา ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาฯ เป็นต้น เป็นพิธีพราหมณ์และพุทธตามแบบโบราณทั้งหมด ไม่มีพิธีผีหรือสะกดวิญญาณใดๆที่มโนกันขึ้นมา
.
การสร้างพระเมรุมาศนั้นคำนวณอย่างดีล่วงหน้าเป็นปี ทุกคนทำสุดฝีมือ แพลนไว้ทุกอย่าง ไม่มีมาแก้งานตรงหน้าแบบบ้านชาวบ้าน ควบคุมแบบและการสร้างโดยสมเด็จพระเทพรัตนฯ มีสถาปนิก วิศวกร ผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากรดูกันอย่างละเอียดทุกขั้นตอน
.
ส่วนบนพระเมรุมาศ มีส่วนที่เป็นส่วนพระองค์ ที่เจ้านายท่านทรงมีพระราชปฏิสันถารกัน ไม่มีพิธีอะไรที่เป็นความลับมากมาย เว้นแต่การเชิญพระหีบนอนที่ไม่ให้ถ่ายทอด คือเรื่องส่วนพระองค์ไม่ต้องเห็นทุกเรื่องก็ได้นะ ทุกพระองค์กราบถวายบังคมลา มีสรวมกอดกัน บางองค์กรรแสงบ้าง ทรงร่วมเป็นทุกข์ด้วยกันแบบคนทั่วไปที่เสียประมุขของครอบครัว ขอความเป็นส่วนพระองค์เถอะ มีพิธีจัดการพระศพแบบอย่างโบราณที่ไม่ได้ถ่ายทอดออกไป เป็นช่วงที่ถวายพระเพลิงจริง ไม่ได้มีการขอพระราชสมบัติตามที่พูด ควรใช้วิจารณญานเชื่ออย่างมีเหตุผล จะขอไปทำไม งงมาก
.
คนที่พูดก็พูดกันไปด้วยความไม่รู้ และอคติในใจตน เราอยู่กันในสังคมอุดมมโน แปลกนะ การมีอินเทอร์เน็ต เราน่าจะรู้อะไรมากขึ้น มีข้อมูลที่มากขึ้น แต่ในความเป็นจริงคือไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้นเลย แต่เราช่วยกันแพร่ความเขลาให้ฟุ้งกระจายออกไป อินเทอร์เน็ตทำให้เราเผยแพร่ความหยาบคายที่เราไม่กล้าพูดกับคนที่ไม่รู้จักต่อหน้า แพร่ข่าวลือ ข้อมูลเท็จหรือเฟกนิวส์ต่างๆ ได้ง่ายมากๆ
——————————-