25 พ.ค.63 – ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางถ.นครไชยศรีศาลมีคำสั่งในคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งที่ 6ในคดีหมายเลขดำที่อท.245/2561 หมายเลขเเดงที่อท.225/2562 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพานทองแท้หรือโอ๊ค ชินวัตรบุตรชายคนโตนายทักษิณชินวัตรอดีตนายกฯเป็นจำเลยคดีร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินปล่อยกู้แบงก์กรุงไทยจำนวน10 ล้านบาทในความความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบคบกันฟอกเงินตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ.ศ.2542 มาตรา5, 9, 60 และพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ฉบับที่5) พ.ศ.2558 มาตรา10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา83, 91
คดีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตฯกลางมีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2562 ต่อมาทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้ทำความเห็นส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีศาลสูงว่าเห็นควรไม่อุทธรณ์คดีต่อซึ่งอัยการสำนักงานคดีศาลสูงเห็นด้วยตามกฎหมายจึงต้องส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พิจารณาตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯมาตรา34 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา145 ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่
จากนั้นดีเอสไอได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณากลั่นกรองเรื่องดังกล่าวเพื่อเสนอความเห็นต่ออธิบดีดีเอสไอพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนความเห็นของพนักงานอัยการและคำพิพากษาของศาลทั้งที่พิพากษายกฟ้องและที่ทำความเห็นแย้งไว้ท้ายคำพิพากษาประกอบกับความเห็นของพนักงานอัยการที่เห็นควรไม่อุทธรณ์คำพิพากษาแล้วเห็นว่ายังมีประเด็นสำคัญแห่งคดีที่ควรต้องนำสู่การพิจารณาของศาลสูงเพื่อวินิจฉัยอธิบดีดีเอสไอจึงมีความเห็นควรให้นำคดีขึ้นสู่ศาลสูงโดยส่งให้อัยการสูงสุดชี้ขาดเมื่อวันที่24 เม.ย.ที่ผ่านมาจะครบกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งที่5 ในวันนี้
คำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ระบุเหตุผลว่าเนื่องจากคดีนี้อัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลสูงได้พิจารณาสั่งสำนวนแล้วโจทก์ได้เสนอสำนวนต่อไปยังอธิบดีดีเอสไอซึ่งเป็นหน่วยงานภายนอกเพื่อพิจารณาต่อมาดีเอสไอได้มีความเห็นแย้งจึงส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นที่แย้งกันไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาดตามขั้นตอนของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา145 เพื่อมีคำสั่งในชั้นอุทธรณ์ต่อไปสำนวนอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุดโจทก์จึงไม่สามารถดำเนินการในชั้นอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จได้ทันภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
ต่อมาศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่25 มิ.ย.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคดีนี้ในศาลชั้นต้นองค์คณะผู้พิพากษา2 คนมีความเห็นต่างกันในการตัดสินโดยหนึ่งในองค์คณะมีความเห็นแย้งว่าพฤติการณ์ที่มีเช็คเงินลงชื่อนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารเครือกฤษดามหานครโอนเข้าบัญชีนายพานทองแท้เป็นความผิดเห็นควรให้ลงโทษจำคุกนายพานทองแท้4 ปีซึ่งมีการบันทึกไว้เป็นความเห็นแย้งท้ายคำพิพากษาด้วยโดยหากคู่ความยื่นอุทธรณ์ความเห็นแย้งนี้ในสำนวนก็จะขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ทราบด้วย.