2 ส.ค.60 ดร.สุริยะใส กตะศิลา แกนนำพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ได้โพสข้อความระบุว่า ความเห็นแย้งและหวังว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุริตแห่งชาติ(ปปช.)ในฐานะที่เป็นโจทก์จะได้นำไปพิจารณาเพื่อขออุทธรณ์และเพื่อให้ความแคลงใจของสาธารณะสิ้นกระแสความดังนี้
1. คำพิพากษาที่ระบุว่าการสลายการชุมนุมครั้งนี้เป็นไปตามหลักสากลนั้น ขอโต้แย้งว่าก่อนหน้านี้มีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดได้ระบุว่าการสลายชุมนุมไม่เป็นไปตามหลักสากลและเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุเป็นการละเมิดผู้ชุมนุม นอกจากนี้ข้อเท็จจริงที่มีพยานหลักฐานสำคัญพบว่าแก๊สน้ำตาเป็นแก๊สหมดอายุการใช้งาน จนทำให้ผู้ชุมนุมหลายคนบาดเจ็บต่อเนื่องเรื้อรัง แขนขาพิการตาบอดในภายหลังก็มี และวิถีการยิงเป็นการยิงวิถีตรงใส่ผู้ชุมนุมแทนที่จะเป็นวิถีโค้งตามหลักสากล ทำให้มีคนบาดเจ็บ และเสียชีวิตทันที
2. คำพิพากษาระบุว่าเป็นการชุมนุมไม่สงบผู้ชุมนุมพกพาอาวุธไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญนั้น การชุมนุมยืดเยื้อ 193 วันของพันธมิตรฯ มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญคำพิพากษาของศาลอาญาหลายคดีที่มีการดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรฯ นั้นศาลอาญาระบุไว้หลายคดีว่าเป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญและเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะไม่ใช่เพื่อตัวเองและทำให้ประชาชนรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลในขณะนั้น
3. คำพิพากษาระบุว่าจำเลยทั้ง 4 ไม่มีเจตนานั้น มีพยานหลักฐานที่เป็นคลิปวิดีโอในเหตุการณ์พบว่าพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่บางคนทั้งช่วงยิงแก๊สน้ำตาและช่วงใช้กระบองทุบตีผู้ชุมนุมก็กระทำไปโดยความสะใจ ที่สำคัญการจัดขบวนของเจ้าหน้าที่ตอนเช้าตรู่วันที่ 7 ตุลาคม 2551 นั้นก็พบชัดเจนว่าเป็นการเตรียมพร้อมเข้าสลายการชุมนุมและปฏิเสธการเจรจากับแกนนำและตัวแทนเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยทำ
สุดท้ายนี้ผมหวังว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งขาติ (ปปช.) ในฐานะโจทก์จะนำพาข้อสังเกตและข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งนี้ เพื่อพิจารณลงมติใช้สิทธิอุทธรณ์คดีให้สิ้นกระแสความและบังเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายโดยเฉพาะคนบาดเจ็บ พิการและเสียชีวิตในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ต่อไป
ด้วยความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
สำนักข่าววิหคนิวส์